วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

บัวลอยไข่หวาน








                     ซอยเฉยพ่วงข้างธนาคารทหารไทยสำนักงานใหญ่ตอนเย็น ๆ จะมีบัวลอยไข่หวานเจ้าอร่อยขาย ทานหลายครั้งตั้งแต่สมัยยังทำงาน แต่ตอนนี้ให้ออกไปซื้อตอนเย็น ๆ เหมือนก่อนคงลำบาก ทำเองได้เพราะเดี๋ยวนี้เขามีเม็ดบัวลอยสำเร็จรูปขายใน Supermarket

เครื่องปรุง

1.เม็ดบัวลอยสำเร็จ 1 ถุง
2.ไข่ไก่
3.กะทิกล่อง
4.น้ำตาลทราย
5.เกลือป่น
6.เนื้อมะพร้าวอ่อน ข้าวโพดต้มฝานบาง ๆ (ไม่นิยมไม่ต้องใส่)
7.น้ำสะอาด

วิธีทำ

1.ต้มน้ำให้เดือด ใส่เม็ดบัวลอยลงต้มพอสุกจะลอยตัวขึ้นมา ตักออกแช่ในน้ำเย็นพักไว้
2.ใส่กะทิและเติมน้ำนิดหน่อยลงในหม้อ ใส่น้ำตาลทรายลงไป (ชอบหวานมากใส่มาก) คนจนน้ำตาลทรายพอละลาย 
3.ยกขึ้นตั้งไฟอ่อน ๆ  เติมเกลือป่นนิดเดียว ใช้ทัพพีคนไปเรื่อย ๆ เพื่อไม่ให้กะทิแตกมัน
4.ใส่เม็ดบัวลอยลงไป ให้ความหวานของกะทิเข้าถึงเนื้อแป้งบัวลอย ตามด้วยเนื้อมะพร้าวและข้าวโพด
5.ขั้นตอนสุดท้าย เตาะไข่ไก่ลงไป ทำทีละฟอง ทีละถ้วย  พอไข่สุกตามขนาดที่ต้องการ ตักใส่ถ้วยพร้อมเสิร์ฟ


วันพุธที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2557

ขนมจีนน้ำเงี้ยว










                             วันก่อนลูกพาไปทานขนมจีนน้ำเงี้ยวเจ้าอร่อยแถวซอยละลายทรัพย์ อร่อยขนาดที่ว่ากันว่าตอนเที่ยงนี่คิวยาวต่อแถวกันเลยทีเดียว อะไรดลใจจึงอยากลองทำเองดูบ้าง ไปตลาดซื้อวัตถุดิบได้ดอกงิ้วและน้ำพริกแกงน้ำเงี้ยวของทางเหนือ ง่ายดีลองเลย ( น้ำเงี้ยวคือน้ำแกงรสเค็ม เผ็ด เปรี้ยว )

เครื่องปรุง

1. เส้นขนมจีน 
2. ซี่โครงหมูสับเป็นชิ้น ๆ  1/2 กก.
3. เลือดไก่หั่นชิ้นพอคำ (ไม่ชอบไม่ต้องใส่)
4. หมูบด  1/2 กก.
5. มะเขือเทศสีดา  10 ลูก
6. เกลือป่น
7. ดอกงี้วแช่น้ำพอนิ่ม 1 ถ้วย
8. น้ำมันพืช 1 ชต.

9.น้ำพริกแกงน้ำเงี้ยว 3 ชต.(ชอบเผ็ดมากเติมได้อีก)
10.รากผักชี 2 ต้น
11.เครื่องเคียงต่าง ๆ เช่น ถั่วงอก ถั่วฝักยาว แตงกวา หอมแดง มะนาว พริกทอด กระเทียมเจียว ต้นหอมผักชีซอย


วิธีทำ

1.เคี่ยวซี่โครงหมูจนเปี่อย ตามด้วยดอกงิ้วและรากผักชีลงไป
2.ผัดหมูสับกับน้ำมันพืชและเครื่องแกง พอสุกตักใส่ในหม้อต้มซี่โครงหมู
3.ใส่มะเขือเทศ เลือดไก่ ปรุงรสด้วยเกลือป่น ให้ออกรสเค็ม เผ็ด เปรี้ยว
4.พอเดือดปิดไฟ 
5.เสิร์ฟกับเส้นขนมจีนและเครื่องเคียง






ดอกงิ้วอบแห้ง




วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557

France - Italy - Swiss Part II - XI ส่งท้ายที่ปราสาทแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์ (Loire)








3 มีนาคม 2557

                      วันสุดท้ายแห่งการท่องเที่ยวฝรั่งเศส  เลือกที่จะไปชมปราสาทแห่งลุ่มแม่น้ำลัวร์ ใช้เวลาเต็มวันค่ะ ถ้าขยันให้ตื่นแต่เช้า ใช้บริการ Bus Tour จะชมได้หมด 3 ปราสาทดัง ( Chateau de Chenonceau , Chateau Royal de Blois , Chateau de Chambord  ) แต่เราคนขี้เกียจตื่นเช้า จึงต้องไปเองและดูได้แค่ปราสาทเดียว (โปรดอย่าเอาอย่าง)

                      Loire River อยู่ตอนกลางของประเทศฝรั่งเศส  มีความยาวถึง 1,013 กิโลเมตร ในสมัยโบราณกษัตริย์ฝรั่งเศส นิยมให้สร้างปราสาทริมแม่น้ำนี้เพื่อใช้เป็นที่พักผ่อนนอกเมือง และมีมากมายหลายปราสาทจนได้รับการจดเป็นมรดกโลกทางวัฒนธรรมจากยูเนสโก เมื่อปี คศ.2000


                      เราตั้งต้นที่สถานีรถไฟ Paris  Montparnasse ซื้อตั๋วรถไฟ TGV ไป - กลับ  จากเครื่องขายตั๋ว ราคาตั๋วคนละ 102  ยูโร ลงที่สถานี Saint-Pierre-des-Corps เมือง Tours ระยะทางจาก Paris ถึง Chateau 214 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมงนิด ๆ  เดินออกมาทางด้านหน้าสถานีรถไฟ งง ๆ มองหา Bus Tour ไปชมปราสาท หรือหาป้ายเชิญชวนท่องเที่ยว จุดหรือ Counter จำหน่ายตั๋ว ไม่เห็นเลย พบแต่จุดรอ Taxi ตัดสินใจพึ่ง Taxi เดี๋ยวจะพลาดสายเกินไป

                     Taxi ใจดีมาก (ได้สตางค์จากเราเยอะ) ขับพาเรามาถึงปากทางเข้า Chateau de Chenonceau  ระหว่างทางกว่าครึ่งชั่วโมงที่นั่งมา บ้านเมืองเงียบเหงามากถึงมากที่สุด ผู้คนไปไหนกันหมด หรือหลบหนาวกับฝนปรอย ๆ อยู่แต่ในบ้าน คนขับ Taxi คงสงสารเราที่ดูแล้วคงจะหารถกลับไปสถานีรถไฟยาก จึงจอดรถคอยในลานจอดโดยไม่คิดเงิน เราตกลงกันที่ 2 ชั่วโมง

                    มาถึงห้องจำหน่ายตั๋วเข้าชมปราสาทและขายของที่ระลึก เราซื้อตั๋วจากเจ้าหน้าที่  และออกเดินไปตามถนนสู่ตัวปราสาท    



ทางเดินไปยังปราสาทผ่านฟาร์มด้านขวามือ






                      Chateau de Chenonceau เป็นปราสาทที่เปลี่ยนผู้ครอบครองมาหลายยุคหลายสมัยตั้งแต่ศตวรรษที่ 16  เริ่มจาก Catherine Briconnet , Diane de Poitiers ใน King  Henri II , Catherine de Medici , Louise de Lorraine ใน King Henri III , Madame Dupin  , Madame Pelouze ทุกคนล้วนเป็นสุภาพสตรีทั้งสิ้น  ปัจจุบัน ปราสาทนี้อยู่ในความครอบครองของตระกูล  Menier



Sphinx หมอบเฝ้าหน้าทางเข้าไปยังปราสาท


เห็นปราสาทแล้ว




Self-service Restaurant & Wax works Museum




                        ตัวปราสาทมีความยาว 60 เมตร ทอดขวางอยู่กลางลำน้ำ Cher  มีสะพานเดินข้ามไปยังปราสาทได้ ประตูทางเข้าจะมี Sphinx หมอบอยู่สองข้าง มีสวนสวยด้านนอกปราสาท ค่าเข้าชมปราสาทคนละ 11 ยูโร ถ้ารับ Audio Guide ด้วยตกคนละ 15 ยูโร เปิดให้เข้าชมทุกวัน ระหว่างเวลา 9.30 - 17.30 น.

  

            
The Marques Tower
        
        
The Chapel



ห้องนอน Diane de Poitier



The Gallery




Louis XIV 's Drawing Room



The Hall



The 5 Queens ' Bedroom



Catherine de Medici 's Bedroom



Exhibition Rooms


Cesar of Vendome(son of King Henri IV)'s Bedroom


                      ยังมีชั้นสองอีก แต่เดินไม่ไหวแล้ว แค่นี้ก็อิ่มตาอิ่มใจกับความสวยงามตระการตา และใกล้ได้เวลานัด Taxi ที่รอคอยอยู่ เวลาไม่พอเสียดายอยากไปดู Chateau อื่น แต่ต้องกลับสถานีรถไฟเพราะจองตั๋วเที่ยวกลับไว้ 18.39 น. ครั้งหน้านะ หากมีโอกาสมาอีก




   
                          ถีงสถานีหกโมงเย็น จิบกาแฟร้อน ๆ รอเวลารถไฟออก พรุ่งนี้ต้องกลับเมืองไทยแล้ว   คงได้พบกันอีกนะ 

                           Bye Bye Paris , Bye Bye France.



           

วันจันทร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2557

France - Italy - Swiss Part II - X เก็บตก Paris สะพานรัก - Centre Pompidou






  2 มีนาคม 2557


                                       วันนี้ตั้งใจจะเก็บตกสถานที่ ๆ ยังไม่ได้ชมใน Paris หลังจากเดินทางมาเป็นครั้งที่สองแล้ว จึงเริ่มต้นกันที่สะพานกุญแจรัก ที่หลาย ๆ ประเทศนิยมกัน



ร้านขายของริมสะพาน




                                       สะพาน Pont des Arts   สร้างในปี คศ.1802 ด้วยเหล็ก สำหรับใช้เดินหรือขี่จักรยาน สะพานนี้พาดผ่านแม่น้ำ Seine ในกรุง Paris สองฟากฝั่งสะพานคือ  Louvre  Museum กับ Institut de France  ที่นี่หนุ่มสาวนิยมนำกุญแจที่สลักชื่อของทั้งคู่มาคล้องล็อคเป็นพยานแห่งรัก และทิ้งลูกกุญแจลงในแม่น้ำ (ใต้น้ำคงจะเต็มไปด้วยกุญแจ ไม่ดีแน่) แถมแวะเวียนกลับมาชื่นชมกุญแจและถ่ายรูปเป็นหลักฐานไว้ทุก ๆ เดือน ทุกปีอีกด้วย







Institut de France






การเดินทาง   นั่งรถไฟใต้ดินลงสถานี Louvre Rivoli แล้วเดินเลียบมาทางริมแม่น้ำ Seine 


                                     เวลายังพอไปได้อีกแห่ง จึงเลือก ศูนย์ปอมปิดู ( Centre Pompidou ) 





การเดินทาง  ลงสถานีใต้ดิน Rambuteau


                                     Pompidou Centre เป็นพิพิธภัณฑ์ศิลปะสมัยใหม่ที่ถูกสร้างขึ้นในปี คศ.1977 มีโครงสร้างสะดุดตาด้วยบันไดเลื่อนสูงอยู่ด้านนอกอาคารกระจก 6 ชั้น  เชิญชวนให้นักท่องเที่ยวอยากขึ้นไปชมวิวมุมสูงของกรุง Paris ที่ชั้น 6 มองเห็นไกลไปถึงหอ Eiffel  เนินโบสถ์ขาว Montmartre  แต่ต้องจ่ายเงินค่าเข้า 3 ยูโร ถ้าขึ้นบันไดเลื่อนอย่างเดียว แต่ถ้ารวมชมงานศิลปะภายในอาคารต้องจ่ายรวม  13  ยูโร









                                    ภายในพื้นที่กว่า 7,000 ตารางเมตร เต็มไปด้วยงานศิลป์ของเหล่าศิลปินต่าง ๆ ร้านจำหน่ายเครื่องเขียน อุปกรณ์ สมุดหนังสือ โรงภาพยนตร์ ร้านกาแฟ มีการตรวจกระเป๋าก่อนเข้าภายในศูนย์ ฯ เพื่อความปลอดภัยค่ะ
















ภายในศูนย์ ฯ



ด้านหน้าศูนย์ศิลปะ Pompidou ถ่ายจากชั้นบนสุด

                               เดินชมภาพจนเมื่อยขา กลับไปหาอาหารเย็นอร่อย ๆ ทาน และเข้าที่พัก โรงแรม Tourisme Avenue โซน 15 (แนะนำค่ะว่าดีมาก ๆ ใกล้ร้านอาหาร ร้านกาแฟ สถานีใต้ดิน Supermarket สุด ๆ)

                                พรุ่งนี้ไป tour วังกันต่อส่งท้าย





วันพฤหัสบดีที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2557

France - Italy -Swiss part II - IX Zurich โดยบังเอิญ




นางฟ้า (Guardian Angel) ที่สถานีรถไฟเมือง Zurich


28  กุมภาพันธ์ 2557


                             ความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวงในการมาเที่ยวครั้งนี้ คือการไม่จองตั๋วรถไฟล่วงหน้านาน ๆ หนึ่งคือตั๋วที่ซื้อปัจจุบันทันทีจะหายากมาก  โดยเฉพาะถ้าไม่ได้ไปคนเดียว อย่างที่สองที่สุด ๆ คือราคาตั๋วจะแพงงงงงมากกกกก

                             เช้าวันนี้เราลุยกับ Breakfast ที่ทางโรงแรมนำมาบริการให้ถึงในห้อง Check out บอกลาคุณ Juliet เรียบร้อย ก็รีบ search หาตั๋วรถไฟกลับ Paris ทันที เนื่องจากออกมาท่องเที่ยวหลายวันแล้ว พลาดอย่างรุนแรง หาตั๋วไม่ได้ ไม่ว่าจะออกจาก Milan , Florence , Rome  ทำไง รีบบึ่งไปสถานีรถไฟ Verona ทันที





             
                              นาทีนี้คิดไรไม่ออก ซื้อตั๋วจากตู้ขายตั๋วอัตโนมัตที่สถานี Verona Porta Nuova กลับไปตั้งต้นที่ Milan เพราะคิดว่าเป็นเมืองใหญ่และมีขบวนรถไฟ TGV /SNCF วิ่งตรงกลับ Paris  เมื่อถึงสถานีรถไฟ Milan Centrale  รีบลากกระเป๋าไปหาซื้อตั๋วรถไฟที่ Office ขายตั๋ว SNCF คิวเยอะมาก ๆ พอถึงเรา เจ้าหน้าที่ขายตั๋วพยายามช่วยเหลือเราเต็มที่ แต่ตั๋วเต็มไปจนถึงวันที่ 4 มีนาคม แม่เจ้า พลาดจริง ๆ เรา เจ้าหน้าที่สาว(น้อย) แนะนำให้เรานั่งรถไฟใต้ดินไปสถานีถัดไป  เนื่องจากมี Office ขายตั๋ว TGV หากโชคดีตั๋วเหลือเราจะได้กลับ Paris เย็นนี้

                               กระหืดกระหอบมาถึง Office TGV เขาก็พยายามช่วยหาตั๋วหรือหาวิธีให้เราได้ตั๋วแบบประหยัดเวลาและประหยัดเงินที่สุด  การหาตั๋วรถไฟ 3 ใบแบบเร่งด่วนไม่ง่าย สุดท้ายเจ้าหน้าที่หาทางออกที่ดีที่สุดให้ คือ วันนี้นอน Milan 1 คืน (เสียเงินค่าโรงแรมอีก 1 คืน) พรุ่งนี้เช้าขึ้นรถไฟไป Zurich Switzerland  เพื่อต่อรถไฟไปยัง Paris จะถึง Paris ประมาณ 4 ทุ่มพรุ่งนี้  เราสามคนตกลง OK (ค่ารถไฟรวม 3 คน  588 ยูโร แม่เจ้า เข็ดจนตาย)



สองข้างทางรถไฟไป Zurich


1 มีนาคม 2557

                             จากสถานีรถไฟ Milano Centrale  11.10 น. นั่งยาวไปจนถึงสถานีรถไฟเมือง  Zurich 14.51 น.ระหว่างทางขึ้นไปตอนเหนือของอิตาลีเข้าเขตเมือง Zurich หิมะขาวโพลนเต็มไปหมด มองแล้วหนาวจับใจ มาเที่ยวหลายวันไม่มีหิมะตกที่ใด ไม่ว่า ฝรั่งเศส อิตาลี 



ด้านหน้าสถานีรถไฟ Zurich


โรงแรมหรูตรงข้ามสถานีรถไฟบนถนน Bahnhofstrasse

                          เรามีเวลารอเปลี่ยนขบวนรถไฟ 2 ชั่วโมงครึ่ง เริ่มคิดออกเดินเที่ยวรอบเมืองทันที ทำเวลาให้เร็วที่สุด ขั้นแรกต้องฝากกระเป๋าเดินทาง 3 ใบเขื่อง ๆ ที่ตู้ฝากกระเป๋าที่สถานีรถไฟก่อน ทุลักทุเลเนื่องจากเมืองนี้ไม่ใช้เงินสกุลยูโร ต้องใช้เงินฟรังค์สวิสเท่านั้น มองหาตู้กดเงินช่วยชีวิตทันที
เมื่อเรียบร้อยออกจากสถานีด้านหน้า เดินตรงไปตามถนนตลอดอย่างเดียว (กันหลงทาง)



ต้นไม้ประหลาดริมทาง

                       Zurich ไม่ใช่เมืองหลวงแต่กลับเป็นเมืองที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ Switzerland เป็นเมืองที่มีค่าครองชีพแพงที่สุด ประชากรร่ำรวยที่สุด มีความสุขที่สุด เป็นศูนย์กลางการค้า ศูนย์กลางการเงิน น่าอิจฉาจริง ๆ 




                    


            





                               เดินชมเมืองมาจนถึงสะพานข้ามแม่น้ำ Limmat ที่แบ่งเมืองเป็นสองฝั่ง คือฝั่งสถานีรถไฟ กับฝั่งเมืองริมน้ำ ทั้งเงียบสงบทั้งหนาวเย็น มองไปเห็นหอคอยโบสถ์คู่ข้างหน้า มหาวิหาร Grossmunster อันเก่าแก่ที่นักท่องเที่ยวและชาวเมืองเดินทางมาชมกันมากมาย บนหอคอยสามารถขึ้นไปชมวิวสูงของเมืองได้ แต่เสียเงินค่ะ






รูปปั้นที่หัวสะพาน Munster

ธงสัญญลักษณ์ของประเทศเห็นทั่ว ๆ ไป



                        เดินต่อไปจะพบโบสถ์  Fraumunster ที่มีกระจกสีสรรสวยงาม ตั้งอยู่เชิงสะพาน Munster ด้านตะวันตกของแม่น้ำ Limmat   สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 9 







หมดเวลาชมเมือง Zurich  แล้ว รีบจ้ำกลับสถานีรถไฟ เพื่อรับกระเป๋าเดินทางคืน ซื้อน้ำดื่มและอาหารสำรองไว้ทานบนรถ เพราะเราจะกลับถึง Paris Gare Lyon Station เวลา 21.40 น.

                                 พรุ่งนี้เที่ยวฝรั่งเศสส่งท้ายก่อนกลับบ้านค่ะ