วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

วันพุธที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2554

Wild Romance



                         Lee Dong Wook หลังจากออกจากกรมทหาร ได้มีผลงานการแสดงใหม่ ๆ ให้แฟน ๆ ได้ชม จากเรื่อง Scent of A Woman ที่อวสานไปเมื่อเดือน กันยายน ที่ผ่านมา คราวนี้มากับผลงานใหม่ ในบทของนักเบสบอลหนุ่ม (พักนี้เกาหลีทำไมชอบให้พระเอกเป็นนักเบสบอลจัง สงสัยกำลังเป็นกีฬายอดฮิต) กับรักของ Bodyguard ส่วนตัวของเขา อดีตนักยูโดสาว แสดงโดย นางเอกจาก Poseidon  Lee Shi Young มารับบททอมบอยอารมณ์ร้อนที่เก่งในทุกสรรพอาวุธการต่อสู้  ต่างจากพระเอกที่รูปหล่อยอมหยิ่งยะโส style เรื่อง My Girl แต่เก็บกดกับรักเก่าที่ถูกสาวทอดทิ้งไป สาวสวยคนนั้นแสดงโดย SNSD ' s Jessica กับการแสดงละครครั้งแรกของเธอ แฟนคลับมีลุ้นแน่นอน


สาวน้อย Jessica  วง SNSD


                        ละครแนว Romantic Comedy  16 ตอนจบ ต้อนรับปีใหม่ 4  มกราคม 2555 ของค่าย KBS2  ทุกพุธ - พฤหัส  แฟน ๆ Dong Wook  -  Jessica ห้ามพลาดเด็ดขาดค่ะ


(ขอบคุณภาพจาก dramabeans )

วันจันทร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สะโพกไก่น้ำแดง



                   ไปเดิน Supermarket ตอนนี้ไก่สดถูกมาก ไม่รู้ว่าเจ้าของฟาร์มไก่กลัวไก่จะจมน้ำอีกหรือเปล่า สะโพกไก่ที่ได้มาชิ้นละ 6 - 7 บาท ทำสะโพกไก่น้ำแดงถูกกว่าซื้อแม่ค้าร้านขายข้าวแกงอีกค่ะ

เครื่องปรุง

สะโพกไก่ จำนวนชิ้นตามปริมาณสมาชิกในครัวเรือน อันนี้ขอ 6 ชิ้น
เกลือป่น พริกไทยป่น
หอมใหญ่สับหยาบ 1 หัวใหญ่
น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย ซอสเปรี้ยว
ซอสมะเขือเทศ ซอสพริกศรีราชา ผงปรุงรส
ลูกกระวาน 5 เม็ด

วิธีทำ

1. นำสะโพกไก่ เกลือป่น และพริกไทยคลุกให้เข้ากัน หมักทิ้งไว้ 10 นาที
2. ใส่น้ำมันในกระทะตั้งไฟร้อนปานกลาง เมื่อน้ำมันร้อนได้ที่ นำสะโพกไก่ที่หมักไว้ไปทอดจนเหลืองสุก นำออกมาพักสะเด็ดน้ำมัน
3. ตั้งกระทะบนไฟร้อนจัด ใส่น้ำมันที่เหลือจากทอดไก่ลงไปนิดหน่อย ใส่หอมใหญ่สับและผัดจนเหลืองหอม จึงใส่ลูกกระวาน ซอสมะเขือเทศ 3 ช้อนโต๊ะ ซอสพริก 2 ช้อนโต๊ะ ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ น้ำตาลทราย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันหอย 1 ซอสเปรี้ยว 1 และน้ำเปล่า  ½ ถ้วย
4. ใส่ไก่ทอดลงไป หรี่ไฟลง เคี่ยวจนเข้าเนื้อกันดี ชิมรสอร่อยถูกใจ ปิดไฟและตักใส่ถ้วย  เสริฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ


Tips  บางตำราจะทอดไก่จนแห้งและไม่ใส่น้ำเปล่า ทำให้เป็นไก่น้ำแดงแบบข้น ๆ หนึบ ๆ ค่ะ



      

วันพฤหัสบดีที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สูงสุดในสยามที่ดอยอินทนนท์

                          อุทยานแห่งชาติดอยอินทนนท์ หรือชื่อเดิม ดอยอ่างกา ที่ที่มีหนองน้ำให้หมู่นกกามากมายบินไปเล่นน้ำ  เป็นจุดสิ้นสุดของเทือกเขาหิมาลัย ซึ่งมีอากาศหนาวเย็นมากตลอดทั้งปี ยิ่งถ้าได้มาเที่ยวในหน้าหนาวแล้ว  จะเห็นหมอกปกคลุมขาวไปทั่วและน้ำค้างแข็งจับตามกิ่งไม้อีกด้วย เนื่องจากความสูงถึง 2,599 เมตร  เป็นอุทยานแห่งชาติ ลำดับที่ 6 ของประเทศไทยที่ใคร ๆ ต่างอยากมาเยี่ยมเยือนในช่วงฤดูหนาว




                           ที่นี่ไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ ไปทางอำเภอจอมทอง 106 กม.ถนนหนทางค่อนข้างสูงและชันมาก โดยเริ่มเดินทางจากเส้นเชียงใหม่ - ฮอด  (ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 108)  ผ่าน หางดง สันป่าตอง ไปยังจอมทอง ก่อนถึงจอมทอง 2 กม.ให้เลี้ยวขวาไปตามเส้นจอมทอง - อินทนนท์ ถึง กม.ที่ 8 จะเริ่มเข้าเขตอุทยาน ฯ ในบริเวณอุทยานมีน้ำตกและถ้ำมากมาย และยังเป็นที่ตั้งของสถานีเรดาร์ของกองทัพอากาศไทยอีกด้วย



                          ข้าวตอกฤาษี ( Sphagnum Moss ) เป็นพืชที่พบได้ตามที่สูงกว่า 2000 เมตรเท่านั้น ชอบความอุดมสมบูรณ์สูง ที่ชุ่มชื้นและอากาศเย็น


ทางเดินไม้รอบ ๆ บริเวณดอย

ทางเดินลงไปชม กุหลาบพันปี ขอบอกว่าหนาวมาก ๆ










บรรยากาศหนาวเย็นปกคลุมไปด้วยหมอก




ป้ายยืนยันว่าสูงสุดจริง


                           พระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดล และ พระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ 


                             ตั้งอยู่ตรงหลักกิโลเมตรที่ 41.5 ด้านซ้ายมือ สร้างถวายในหลวงทรงครบ
พระชนมพรรษา 5 รอบ เมื่อปี 2530  และพระบรมราชินีนารถทรงครบพระชนมพรรษา 5 รอบ ในปี 2535 ตามลำดับ พระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดล มีความหมายว่า พระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ยิ่งใหญ่เพียงฟ้าจดดิน และ พระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ มีความหมายว่า เป็นกำลังแห่งฟ้า เป็นสิริแห่งดิน ตัวฐานพระธาตุเป็นรูป  12 เหลี่ยม มีระเบียงแก้วโดยรอบ 2  ระดับ มีบันไดเลื่อนเหมือนในห้าง ฯ ให้บริการขึ้นอย่างเดียวเพื่อไปชมบนพระธาตุอีกด้วย  ค่าเข้าชมคนละ  40 บาท


พระมหาธาตุเจดีย์นภพลภูมิสิริ

พระมหาธาตุเจดีย์นภเมทนีดล


(ภาพจาก web.doiinthanon.com)






วิวมองลงมาจากบนพระมหาธาตุ ฯ

 




                                                  (แผนที่จากเวบ thaitour)




Tips    หากจะขับรถไปเที่ยวดอยอินทนนท์เอง ควรเตรียมความพร้อมสมรรถนะเครื่องยนตร์ น้ำมันรถต้องเต็มถัง ความสามารถพิชิตโค้งของผู้ขับ  และมี GPS พกไปด้วยยิ่งเยี่ยม



วันอังคารที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เส้นใหญ่ราดหน้าผงกะหรี่



                               ไปพบตำราทำราดหน้าใส่ผงกะหรี่ ไม่เคยทานเลย จึงลองทำดู อร่อยดีเหมือนกัน ต้องบอกต่อ

เครื่องปรุง

เส้นใหญ่สด  
หมูสับ  หมักซีอิ๊วขาวและผงปรุงรสไว้ 1/2 ชม.
หอมใหญ่สับหยาบ 
ผงกะหรี่     
น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว ซีอิ๊วดำหวาน น้ำมันหอย พริกไทยป่น น้ำมันพืช
ตังฉ่าย 
แป้งข้าวโพดผสมน้ำ 
ใบคึ่นช่าย ล้างสะอาดหั่นท่อนสั้น ๆ

วิธีทำ

1.เส้นใหญ่อุ่นให้ร้อนด้วยไมโครเวฟ แล้วนำมาคลี่กระจายให้เส้นไม่ติดซ้อนกัน และดึงให้สั้น ๆ
2.ผัดเส้นกับน้ำมันพืชนิดหน่อย ใส่ซีอิ๊วดำหวาน ผัดคนให้ทั่ว ๆ กันจนหอม พักใส่หม้อไว้
3.ใส่น้ำมันในกะทะ ตามด้วยหอมใหญ่สับ ตังฉ่าย หมูสับ ผงกะหรี่ ผัดให้หมูสุกไม่จับกันเป็นก้อน  ปรุงรสด้วยน้ำตาล ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย
4.ใส่น้ำต้มสุกลงไป 4 ถ้วย รอจนเดือดใส่แป้งข้าวโพด คนอย่าให้แป้งจับเป็นก้อน พอน้ำข้นและเดือด ชิมรสถูกใจปิดไฟได้
5.เวลาจะทาน ใส่เส้นใหญ่ ราดหน้าด้วยน้ำหมูสับที่ทำไว้ โรยด้วยใบคึ่นช่าย พริกไทยป่น


Tips   ผงกะหรี่ มีคุณประโยชน์ในการป้องกันการหลงลืม จึงเป็นอาหารบำรุงสมองอย่างดียิ่ง

วันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ส้มตำข้าวหลาม




                            วันนี้ได้ข้าวหลามอร่อยมา 2 กระบอก เป็นข้าวเหนียวดำและข้าวเหนียวขาว
เลยนึกอยากทานส้มตำขึ้นมา แกล้มกับไก่ย่าง

เครื่องปรุง

มะละกอดิบ 1 ใบ แครอท 1 ลูก สับเป็นเส้นเล็ก ๆ ผสมกัน กุ้งแห้ง ถั่วฝักยาว มะเขือเทศ น้ำตาลปี๊บ น้ำปลาดี มะนาว พริกขี้หนูสวน กระเทียม ถั่วแผ่นหรือถั่วตัด

น่องไก่ติดสะโพกล้างสะอาด บั้ง 2 - 3 แฉกหมักซอสปรุงรสผสมผงปรุงรสและพริกไทยไว้ 1 ชั่วโมง

วิธีทำ

ส้มตำ       1.โขลกกระเทียม พริกขี้หนู ถั่วฝักยาว น้ำตาลปี๊บ และถั่วแผ่นพอแหลก
                2.ใส่กุ้งแห้ง มะเขือเทศหั่น น้ำปลา มะนาว ชิมรสจัด ๆ
                3.ใส่มะละกอผสมแครอท  ตำคลุกเคล้าเบา ๆ ใช้ช้อนช่วยคนไปมาในครก
                4.ชิมรสอีกครั้งตามชอบ ตักใส่จาน

ไก่ย่าง    นำไก่ที่หมักไว้มาย่างบนเตา ใช้ไฟปานกลาง พลิกกลับไปมาให้สุกเหลืองทั่วกัน

                เวลาทาน ส้มตำไก่ย่างกับข้าวหลามหั่นเป็นแว่น ๆ พอคำ จิ้มน้ำจิ้มแจ่วหรือน้ำจิ้มไก่ก็อร่อยค่ะ


Tips   จะให้มะละกอกรอบอร่อยเวลาทาน ต้องแช่เส้นมะละกอที่สับในน้ำผสมน้ำมะนาวและเปลือกมะนาวไว้สักครู่  นำขึ้นมาสะเด็ดน้ำก่อนไปตำเป็นส้มตำค่ะ

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เที่ยวพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์

                                                                เรือนรับรอง




                          บนดอยบวกห้า ตำบลสุเทพ เชียงใหม่ เป็นที่ตั้งของพระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ ที่ทรงใช้ประทับยามเสด็จมาเยี่ยมราษฎร สร้างขึ้นตั้งแต่ปี 2504 และเปิดให้ประชาชนได้มีโอกาสเข้าชมความงามของพรรณไม้นานาชนิด ตั้งแต่เวลา 8.30 ถึง 15.30 น. หยุดพักชมช่วงเวลาเที่ยงถึงบ่ายโมง  ทุกวัน โดยต้องแต่งกายสุภาพเท่านั้น หาไม่แล้วต้องเช่าผ้าถุงผ้านุ่งห่มเข้าไปคนละ  15 บาท และค่าเข้าชมอีกคนละ 20 บาท มีรถกอล์ฟบริการพร้อมคนขับบรรยายสถานที่ต่าง ๆ ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ค่าบริการ 300 บาท นั่งได้คันละ  3 คน เหมาะสำหรับผู้ไม่อยากเดินหรือมีเวลาจำกัดในการท่องเที่ยว


                            ที่นี่อยู่ห่างจากดอยสุเทพประมาณ 4 กม. มีความสูงเหนือจากระดับน้ำทะเลประมาณ กว่า 1,300  เมตร เนื้อที่โดยรอบพระตำหนักประมาณ 400 ไร่ นั้น แบ่งเป็นบริเวณที่ เปิดให้นักท่องเที่ยว ได้ชื่นชมประมาณ 200 ไร่   คำว่า “ดอยบวกห้า” เป็นคำพื้นเมือง ดอย คือภูเขา บวก คือ หนองน้ำ ห้า คือ  ต้นหว้า รวมความหมายคือ ที่ยอดดอยแห่งนี้มี หนองน้ำอุดมไปด้วยต้นหว้าขึ้นปกคลุมทั่วบริเวณ นั่นเอง

เรือนปีกไม้ที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ ฯ
ทางเดินเข้าชมตัวพระตำหนักภูพิงค ฯ ที่ก่อสร้างแบบเรือนหมู่  ยกพื้นสูง ใช้เวลาในการก่อสร้างเพียง 5 เดือน

เขตพระราชฐานหวงห้าม จึงถ่ายแค่บันไดขึ้นมาเป็นที่ระลึก

กุหลาบที่นี่ดอกใหญ่มาก เจ้าหน้าที่แจ้งว่าจะบานเต็มตาไปหมดในเดือนมกราคมค่ะ
อ่างเก็บน้ำขนาดใหญ่ไว้ใช้ในบริเวณพระตำหนัก ด้านซ้ายจะเห็นพลับพลาไม้สักทองที่ประทับ น้ำพุกลางอ่างที่เห็นประกอบเสียงดนตรี ชื่อน้ำพุ " ทิพย์ธาราแห่งปวงชน "
พระตำหนักสิริส่องนครพิงค์ หรือ พระตำหนักยูคาลิปตัส เนื่องจากใช้ไม้ยูคา มาสร้างแบบ Log Cabin
พระตำหนักพยัคฆ์สถิต สร้างแบบ Log Cabin ด้วยไม้ยูคา ที่ประทับของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช ฯ









                 ย้ำเตือน    เดือนมกราพกพาเสื้อกันหนาว ใส่ยาวงดสายเดี่ยวกระโปรงสั้น  ไปให้ทันปิดพักเที่ยง จะได้ไม่เสี่ยงพลาดชมพระตำหนักค่ะ.

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ยำเห็ดสามสหาย



                           เดี๋ยวนี้คนนิยมชมชอบทานเห็ดกันมากขึ้น เห็นมีเมนูอาหารที่ปรุงด้วยเห็ดชนิดต่าง ๆ มากมาย แม้กระทั่งเสียบไม้ย่างจิ้มน้ำจิ้ม seafood ก็อร่อยดีแถมราคาแพงอีกต่างหาก วันนี้ทานยำเห็ดสามสหายหรือจะกี่สหายก็ได้ค่ะแล้วแต่ชอบ


เครื่องปรุง


เห็ดสดที่ชอบ เช่นเห็ดหอมสด เห็ดออรินจิ เห็ดนางฟ้า เห็ดฟาง เห็ดเข็มทอง เห็ดหูหนูขาว - ดำ
แต่เมนูนี้ใช้ 3  เห็ดค่ะ
ใบคึ่นช่ายหั่นเป็นท่อน ตะไคร้ซอย หอมแดงซอย

 
น้ำยำเห็ด   น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส ผงปรุงรส มะนาว พริกขี้หนูซอย  ผสมรวมกัน


วิธีทำ


1.ล้างเห็ดให้สะอาด ลวกในน้ำเดือดพอสุก ตักขึ้นแช่ในน้ำเย็นทันที เสร็จแล้วนำใส่กระชอนให้สะเด็ดน้ำ
2.ใส่น้ำยำเห็ดที่ผสมไว้ลงในอ่างผสม ชิมรสให้ได้จัด ๆ ตามชอบ เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวานนิด ๆ 
3.ใส่เห็ดที่ลวกแล้วลงไปคลุกผสมให้เข้าถึงเนื้อใน 
4.ใส่หอมแดง ตะไคร้ ใบคึ่นช่าย  คลุกเบา ๆ อีกครั้ง ชิมรสอีกทีให้แซ่บสะใจ 
5.ตักใส่จาน ทานเล่นก็ได้ ทานกับข้าวสวยก็ดีค่ะ




Tips    เหตุที่ลวกเห็ดแล้วต้องตักออกแช่ในน้ำเย็นทันที ก็เพื่อให้เวลาเคี้ยวทานจะได้กรอบอร่อยไม่เหนียวเป็นหนังสติ๊กค่ะ

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ปาย แม่ฮ่องสอน

               


                            ต้องขอบคุณฝรั่งใจดีคนหนึ่ง ที่มาเที่ยวเมืองปาย และนำไปเขียนเป็นหนังสือ ทำให้ ปาย เป็นที่รู้จักของคนทั่วโลก เรียกได้ว่าฝรั่งต่างชาติรู้จักและเที่ยวปายก่อนเราคนไทยเสียอีก

                           ได้ยินชื่อ ปาย จากการเป็น Location ภาพยนต์ ปายอินเลิฟ แต่ก็ไม่ได้ดูกับเขาหรอก คิดว่าเป็นเมืองสงบ ธรรมชาติ ๆ ไม่อึกทึกครึกโครม แต่พอได้มาเห็นกับตาครั้งแรก ช่างคล้ายกับพัทยา เห็นฝรั่งต่างชาติมากมาย  บ้านเรือนเต็มไปด้วย Guesthouses , Homestays และ Resorts  ตัวหนังสือตามป้ายมีแต่ภาษาฝรั่ง แม้แต่ร้านกาแฟริมถนนริมทาง คนต่างก็รุมไปถ่ายภาพกัน วิถีชีวิตสงบเดิม ๆ ของชาวบ้านแถบนี้คงหมดไปแล้ว แต่ก็ยังพอมีถนนคนเดินให้เหลือไว้ขายของพื้นเมืองและอาหารเหนือเป็นเอกลักษณ์กันได้บ้าง






ร้านกาแฟเก๋ ๆ หัวมุมถนนกลางเมือง





จุดท่องเที่ยวสำคัญของปาย


แม่น้ำปายที่นิยมล่องแพล่องแก่ง


ได้แค่ผ่านมาชมและเลยผ่านไปค่ะ ไม่ได้ค้างที่นี่ กลับไปเมืองเชียงใหม่ต่อ



                                                Souvenir ที่เห็นของปายค่ะ



Tips   

                         จากปางอุ๋งไปปายใช้เวลาเดินทางประมาณ  4 ชม. เนื่องจากถนนคดเคี้ยวและมีโค้งมากมาย  

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2554

กลับบ้านเรา รักรออยู่

                  


                           หลังจากอพยพออกจากบ้านเนื่องจากน้ำท่วมได้ 2 สัปดาห์ และติดตามข่าวทางทีวีและ Internet ทุกวัน ว่าเมื่อไรน้ำจะลด จะได้กลับเข้าบ้านได้ สุดท้ายก็ได้ข่าวดี น้ำลดแล้ว

                            28 พ.ย.54 เราได้กลับเข้าบ้านหลังน้ำท่วม วันนั้นจำได้ เรียกบริการ Taxi หอบสัมภาระกระเป๋าเสื้อผ้าข้าวของ เพื่อส่งยังบ้าน จำได้ไม่ลืม คำพูดของคนขับ Taxi วันนั้น    " น้ำท่วมไม๊ ผมไม่ลุยเข้าไปนะ เจอน้ำท่วมรถผมพังไม่คุ้มกับค่ารถ 200 กว่าบาท " เราเลยบอกว่า หากคุณเจอน้ำท่วมตรงไหนและขับต่อไปไม่ได้ เราจะลงรถทันที สุดท้ายก็ส่งเราถึงบ้านได้สบาย

                          สภาพภายในหมู่บ้านที่เห็น ไม้ยืนต้นแห้งตายใบเหลือง หญ้าตามผืนดินที่ถูกน้ำท่วมกว่าครึ่งเดือนแห้งตายหมด รอยคราบน้ำหลงเหลือติดกำแพงรั้วทุกบ้านให้เห็นสูงกว่า 60 ซม. บ้านแต่ละหลังกำลังสาละวนกับการเก็บกวาดขยะ ถูขัดคราบพื้นกระเบื้องทางเดินเพื่อกลับเข้าอยู่อาศัย

รอยคราบน้ำที่หลงเหลือ


หญ้าตามพื้นดินแห้งตายหมด
   
                       มาถึงบ้าน ภายในปลอดภัยทุกอย่าง เนื่องจากน้ำมาเยือนโอบรอบรั้วทั้งสี่ด้านเท่านั้น สนามหญ้าหน้าบ้าน ต้นไม้อยู่สุขสบายดี ต้องขอบคุณพ่อบ้านแม่บ้านที่อุทิศกำลังกายใจป้องกันบ้านให้เราเต็มที่ เครื่องสูบน้ำ 2 เครื่องที่มีอยู่ได้ใช้งานอย่างเต็มพิกัด เจอน้ำซึมมาทางใต้รั้วตรงไหน  สกัดออกหมด มีเพียงสนามหญ้าหลังบ้านเท่านั้น ที่ต้องอุทิศทรายให้กับเรา เพื่ออุดทุกรอยรั่วริมรั้วที่น้ำซึมเข้ามา จนโบ๋เป็นแอ่งกระทะ เหมือนหลุมทรายสนามกอล์ฟ ต้องถมกันใหม่


กระเบื้องปูพื้นโรงรถมีแต่คราบขาวของน้ำ





                          เจ้าหมาน้อย 2 ตัวที่รัก แม้จะประสพอุทกภัยแต่ก็อ้วนพีไม่มีที่ติ เนื่องจากซื้ออาหารตุนไว้ให้เรียบร้อยไม่อดอยากก่อนเราออกไป  Happy กันใหญ่ที่เห็นสมาชิกในบ้านกลับมา

                          ความสุขกลับคืนมาอีกครั้ง เพราะที่ใดก็ไม่เหมือนบ้าน ขอเพียงแต่คุณน้ำอย่าหวลคืนกลับมาอีกก็พอแล้ว.

       
ต้นไม้ดอกไม้ภายในบ้านยังสดชื่นและมีชีวิตดี
                   

ข้าวซอยไก่



                              
                             สมัยเด็ก ๆ เคยไปเที่ยวเชียงใหม่ สั่งข้าวซอยทานครั้งแรก ตกใจ ทำไมหน้าตาข้าวถึงเป็นเส้น ๆ เหลือง ๆ มารู้ว่าเป็นอาหารพื้นเมืองของชาวเหนือ เดิมเรียกว่า ก๋วยเตี๋ยวฮ่อ กำเนิดจากชาวจีนมุสลิม แรก ๆไม่ใส่กะทิ ตอนหลังประยุกต์ใส่กะทิ ทำให้เป็นที่นิยมทานกัน หาทานได้ทั้งเชียงใหม่ แม่ฮ่องสอน แม้แต่ในกรุงเทพก็มีขายกันหลายร้าน อร่อยมากอร่อยน้อย  แต่ทุกที่ที่เคยทานจะปรุงรสเผ็ดนำเป็นหลัก หากสู้ความเผ็ดไม่ไหว ทำเองดีกว่า สะดวกง่ายดาย เพราะเดี๋ยวนี้มีเครื่องปรุงข้าวซอยสำเร็จขาย ไม่ยุ่งยากค่ะ




เครื่องปรุง (ทานได้ 5 คน)

1.เส้นบะหมี่เหลืองชนิดเส้นแบน 1 ห่อ (ต้องอย่างแบนเท่านั้นจึงจะอร่อย)
2.สันในไก่ หรือน่องไก่ หรือหมู หรือเนื้อ แล้วแต่ชอบ 1/2 กก.
3.กะทิ     150 กรัม
4.ผักกาดดองซอย
5.หอมแดงซอย
6.มะนาว
7.น้ำตาลทราย
8.ซีอิ๊วขาว
9.น้ำต้มสุก
10.เครื่องปรุงข้าวซอย 1 ซอง 

วิธีทำ

1.หั่นไก่เป็นชิ้นเล็ก ๆ หมักซีอิ๊วขาวไว้ 20 นาที
2.ใส่กะทิลงในหม้อ ยกขึ้นตั้งไฟกลาง เทเครื่องปรุงข้าวซอยลงไป เคี่ยวจนส่งกลิ่นหอม
3.ใส่เนื้อไก่ลงไป ผัดพอสุก
4.เติมน้ำต้มสุกประมาณ 3 ถ้วย เคี่ยวต่อไปเรื่อย ๆ พอเดือดหรี่ไฟอ่อน
5.ชิมรส อย่าให้เค็มหรือเปรี้ยวเกินไป เนื่องจากต้องทานกับเครื่องเคียง
6.ลวกเส้นบะหมี่ให้สุก บางคนชอบโรยบะหมี่กรอบ ก็ให้แบ่งเส้นไปทอดไว้ก่อนได้
7.เวลาเสริฟ ใส่เส้นบะหมี่ลวก ราดน้ำปรุงข้าวซอย ทานคู่กับเครื่องเคียง มะนาว ผักกาดดอง หอมแดงซอย ใครชอบเผ็ดมากตามด้วยพริกทอด พริกป่น พริกเผาได้ค่ะ


                         อร่อยได้ไม่ต้องออกจากบ้านค่ะ