วันพุธที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2556

ปลาหมึกย่างซีอิ๊ว







                                เข้าฤดูร้อนใคร ๆ ก็ต้องออกไปเที่ยวทะเล ทานกุ้ง หอย ปู ปลาและ ปลาหมึก พูดถึงปลาหมึก ซื้อที่เขาย่างขายก็แสนแพง ทำเองไม่รู้ว่าจะแพงยิ่งกว่าหรือปล่าว แต่ So Proud

เครื่องปรุง   ไม่ยากแค่หาปลาหมึกสด ๆ ตัวใหญ่เล็กตามชอบ ซีอิ๊วญี่ปุ่นหรือโชยุ น้ำตาลทราย เกลือป่นหรือเกลือเม็ด น้ำจิ้มซีฟู้ด

วิธีทำ

1.ขั้นแรกต้องล้างปลาหมึกให้สะอาดหมดคาวก่อน โดยการลอกหนังสี่ม่วง ๆ ออก (ใครจะไม่ลอกก็ได้) หลังจากนั้นนำไปล้างกับน้ำผสมเกลือป่น หลาย ๆ น้ำจนฟองน้อยลง นำขึ้นผึ่งให้สะเด็ดน้ำ
2.บั้งปลาหมึกตามขวางตลอดทั้งตัว หมักกับซีอิ๊วญี่ปุ่นผสมน้ำตาลทรายนิดหน่อย หมักไว้ในตู้เย็น 30 นาที
3.นำปลาหมึกที่หมักออกจากตู้เย็น ทิ้งไว้สักครู่ให้คลายความเย็น
4.ตั้งกะทะเทฟลอน ใช้ไฟปานกลาง เรียงปลาหมึกลงในกะทะ ย่างจนสุกทั้งสองด้าน อย่าสุกมากเกินไปจะเหนียวเคี้ยวไม่ไหว
5.จัดใส่จาน ให้ทานง่ายก็หั่นเป็นแว่น ๆ เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มซีฟู้ด


Tips อย่าทานมากนักระวังคลอเรสเตอรอลถามหาจ้า




วันจันทร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2556

โอ้....อัมพวา






                               โอ..อัมพวา นี่หนางามจริงทุกสิ่งเป็นขวัญตา...เพลงดังในอดีตที่กล่าวถึงอัมพวา เกิดมายังไม่เคยไปสักครั้ง โอกาสนั้นมาถึงจากวันรวมญาติเพื่อฉลองวันคล้ายวันเกิดผู้มีพระคุณสูงสุด และได้มาเห็นกับตา โอ้....อัมพวา

                               อัมพวาเป็นอำเภอหนึ่งของจังหวัดสมุทรสงคราม แหล่งที่อุดมสมบูรณ์ด้วยนาเกลือ ปลาทูคอหัก ตลาดน้ำลือชื่อ หิ่งห้อยวาบไฟ และเขาว่าสาวที่นี่สวยมาก

                               การเดินทางไปอัมพวาจากกรุงเทพเดี๋ยวนี้สะดวกสบายมาก ๆ ใช้ทางด่วนพระราม 2 วิ่งยาวตลอด จะไปติดแออัดยัดเยียดตรงด่านทางลงจ่ายตังค์นั่นแหละ เพราะรถรามากมายจะมากันจากหลายแยกมารวมกันเพื่อเลี้ยวไปยังสมุทรสาคร สมุทรสงคราม และเพชรบุรี หลุดจากจุดนี้ไปได้ก็สบาย ใช้เวลาประมาณชั่วโมงกว่า อาศัยความช่วยเหลือจาก GPS ไม่มีหลง

                              เราพักกันที่รีสอร์ทเรือนไทยริมน้ำแม่กลองใกล้ตลาดบางแก้วและตลาดน้ำท่าคา ก่อนถึงดอนหอยหลอด 5 กม.ที่นี่มีท่าน้ำและเรือหางยาวบริการ(เสียเงิน) พาท่องเที่ยวชมธรรมชาติสองฟากฝั่งริมน้ำ และนั่งไปได้ถึงตลาดน้ำอัมพวา คณะเราก็เหมาลำไปเลย

ในเรือมีเสื้อชูชีพและเบาะรองนั่งพร้อมคนขับเรือเป็นมัคคุเทศน์พร้อม



บ้านรัก-ยม

 
วัดนี้มัคคุเทศน์บอกว่าถ่ายเรื่องแม่นาค ฯ

เรือนไทยโบราณอายุกว่า 100 ปี
             
                               เรือแล่นมาใกล้ถึงตลาดน้ำอัมพวา สองข้างทางก็จะเริ่มเห็นความคึกคัก Guesthouses มากมายสองฝั่งคลองให้เลือกใช้บริการ ร้านอาหารทุกร้านแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยวไทย-เทศ ที่นี่จะเปิดทุกวันศุกร์ - อาทิตย์ สี่โมงเย็นเป็นต้นไป จะเห็นเรือแม่ค้าพ่อค้าพายมาจอดขายอาหารแน่นไปหมด




                               
                                  เรือเทียบท่าหน้าเทศบาลอัมพวา ใกล้ถนนคนเดิน ออกเดินได้ครึ่งชั่วโมง คนเริ่มแออัดเบียดกันถ่ายรูป ซื้อของ ลงเรือต่อไปทานอาหารอร่อย ๆ ริมแม่น้ำแม่กลอง  วันนี้ได้ทานกุ้ง หอย(หลอด) ปู ปลายักษ์ ครบ



                                หลังอาหารเย็น สิ่งที่ขาดไม่ได้ของการมาเที่ยวอัมพวา เป็น Highlight คือ นั่งเรือชมหิ่งห้อยที่เกาะตามใบไม้เต็มไปหมด เกาะไปดูดน้ำค้างไป ปล่อยแสงที่ก้นไปวิบวับ ๆ เพ่งมองว่าใครมาพันสายไฟกระพริบหรือปล่าว (555) ของแท้แน่นอนหิ่งห้อยแน่ ๆ เพราะบินมาหาถึงในเรือ ไม่กล้าถ่ายภาพ กลัวแสงแฟรชไปรบกวนความสุขของเขา (หากไม่ได้มาเรือเอง ใช้บริการลงเรือที่นี่ 1 ชม. 60 บาทต่อคน)

                               กลับถึงรีสอร์ทเกือบสามทุ่ม พักผ่อนนอนหลับ ใครขยันก็ตื่นเช้ามาใส่บาตรที่เขาเตรียมไว้ให้ตั้งแต่ 6 โมง สนุกไปอีกแบบหนึ่ง กับครั้งแรกที่อัมพวา.





ของรีสอร์ทเขา แต่อยากตัดกลับมาบ้านจัง



วันอาทิตย์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2556

หมูสะเต๊ะ







                            เดี๋ยวนี้จะทำอะไรทานก็ดูง่ายดายไปหมด เนื่องจากเขาผลิตเครื่องปรุงสำเร็จรูปเป็นซอง ๆ มาจำหน่ายให้ทำง่ายไม่ยุ่งยากกับการหาเครื่องปรุงมากมาย วันนี้ไปเจอซองผงหมักสะเต๊ะ แถมในซองยังมีซองน้ำจิ้มสะเต๊ะสำเร็จรูปอีกด้วย บางคนคิดว่าอย่างนี้ทำทำไม ไปซื้อทานง่ายกว่า แต่บางคนบ้านไม่ใกล้ตลาดหรือแหล่งขายขนาดนั้น จึงต้องทำเองเมื่อนึกอยาก

เครื่องปรุง

1.เนื้อหมูสันใน (หากชอบนุ่มลิ้น) หรือหมูสันคอ (หากชอบติดมัน)  2 ขีด
2.ไม้เสียบหมูสะเต๊ะ  20 ไม้ (จะไม่เสียบก็ได้คล้ายทำหมูย่างธรรมดา)
3.ผงหมักสะเต๊ะ 1 ซอง
4.ผงทำน้ำจิ้มสะเต๊ะ 1 ซอง
5.แตงกวา 5 ลูก
6.หอมแดง 4 หัว
7.พริกชี้ฟ้าแดง,เขียว 3 เม็ด
8.น้ำตาลทราย เกลือป่น น้ำส้มสายชู
9.น้ำกะทิ 1 ถ้วย
10.น้ำมันพืช 3 ชต

วิธีทำ

1.หั่นหมูให้เป็นชิ้นบาง ๆ ยาวเส้นละประมาณ 2 นิ้ว
2.ผสมผงหมักสะเต๊ะกับน้ำกะทิ 1/4 ถ้วย คนให้ละลาย นำหมูลงหมักไว้ 30 นาที
3.เสียบเนื้อหมูกับไม้เสียบ ย่างไฟอ่อน ๆ จนสุก ระหว่างย่างทาน้ำหมักสะเต๊ะเป็นครั้งคราว
4.ผสมผงทำน้ำจิ้มสะเต๊ะกับน้ำกะทิที่เหลือ และน้ำมันพืช  ยกขึ้นตั้งไฟให้เดือด หมั่นคน ให้ข้นพอประมาณ
5.น้ำจิ้มอาจาด ใช้น้ำตาลทราย เกลือป่น น้ำส้มสายชูผสมรวมกัน ตั้งไฟอ่อน ๆ พอให้น้ำตาลละลาย
   ชิมรสออกเปรี้ยวหวาน พักให้เย็นตัว เทใส่ในถ้วยแตงกวาซอย หอมแดงซอย พริกซอย
6.จะเพิ่มด้วยขนมปังแผ่นหนาปิ้งด้วยก็ได้



วันพุธที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2556

Japan on Tour VIII - From Mount.Fuji to Asakusa Temple ( ฟูจิ อาซากูสะ )



      Last Day 29 Mar 13




                                 วันนี้เป็นวันที่ทุกคนรอคอย คือการได้ชมภูเขาไฟ ฟูจิ ที่สวยงามของญี่ปุ่น 
ที่มีชื่อเรียกหลากหลายว่า  Fuji หรือ Fuji - san  หรือ Fujiyama 

                                 ด้วยความสูงถึง 3,776.24 เมตร ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของโตเกียว ใกล้มหาสมุทรแปซิฟิค ล้อมรอบไปด้วยทะเลสาปทั้ง 5 ได้แก่ ทะเลสาป Kawaguchiko Yamanaka Sai Motosu และสุดท้าย Shojiและเมืองสำคัญ 3 เมือง คือ เมือง Gotemba ทางทิศใต้Fujiyoshida ทางทิศเหนือ และเมือง Fujinomiya ทางตะวันตกเฉียงใต้


Lake Kawaguchiko


                                ปากปล่องภูเขาไฟจะถูกปกคลุมด้วยหิมะขาวโพลนสวยงามเป็นเวลาหลายเดือนทุกปี อุณหภูมิเฉลี่ยอยู่ที่ - 38ํํ C - 17.8 ํ C 

                                คาดว่าภายในปี ค.ศ.2015 ภูเขาไฟฟูจิจะมีการประทุบริเวณชั้น 5 หรือ 6 และพ่นลาวาอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับแรงกดดันทางธรรมชาติด้วย (ครั้งสุดท้ายที่เกิดคือปี ค.ศ.1707 )



Fuji-san from Futaba sa Herb Garden View Point
Map from Fuji Information Center 


                              ก่อนจะถึงจุดชมภูเขาไฟฟูจิชั้นที่ 5 จะผ่าน Information Center ที่นี่เราจะเห็นยอดของฟูจิชัดเจนและสวยงามมาก เป็นจุดที่ต้องถ่ายภาพเก็บไว้



อาหารกลางวันกับการชมวิว Lake Kawaguchigo

                            เนื่องจากกรมอุตุ ฯ ของญี่ปุ่นแจ้งว่าสภาพอากาศไม่เอื้ออำนวย วันนี้จึงขึ้นชมฟูจิได้แค่ชั้น 4 เท่านั้น แต่ก็ยังเห็นความสวยงามและวิวรอบ ๆ บวกกับความหนาวเย็นยะเยือก จุดนี้มีที่ให้ละลายทรัพย์ในกระเป๋าด้วยของที่ระลึกต่าง ๆ อย่าลืมซื้อตุ๊กตาฟูจิ น่ารักมาก ๆ 

                            เดินทางต่อเข้าสู่เมือง Tokyo กับบรรยากาศรถติดสุด ๆ เนื่องจากเป็นวันศุกร์สิ้นเดือนเหมือนบ้านเรา เงินเดือนออกทุกคนอยากไปกิน ไป shopping  มาถึงสถานที่ท่องเที่ยวสุดท้ายของโปรแกรมนี้เอาค่ำมืด นั่นคือ วัด Asakusa Kannon หรือ Sensoji Temple












                           วัดนี้เป็นวัดทางพุทธศาสนา ที่เก่าแก่ที่สุดของโตเกียว สร้างเสร็จเมื่อปี ค.ศ.645 เมื่อเราเดินผ่านซุ้มประตูทางเข้าที่เรียกว่า Kaminarimon (Thunder Gate) มีโคมไฟสีแดงใหญ่ยักษ์ 4.5 เมตร  ทุกคนจะมุ่งไปต่อแถวเพื่อสักการะองค์เจ้าแม่กวนอิมทองคำ ที่เชื่อกันว่าขอพรอะไรก็ได้ตามประสงค์  และเสี่ยงเซียมซีทำนายโชคชะตา ซื้อเครื่องรางของทางวัด ต่อจากนั้นก็จะเดินชมร้านรวงต่าง ๆ หน้าวัดกว่า 200 เมตร บนถนน shopping ที่เรียกว่า Nakamise สิ่งของต่าง ๆ เช่น ชุดยูกาตะ พัดกระดาษ ของที่ระลึก ขนม








                           ทางวัดจะเปิดให้ประชาชนเข้าชมและนมัสการระหว่างเวลา 06.00 - 17.00 น.ไม่เสียค่าใช้จ่าย 

                           สุดท้ายก็ต้องลาจากกรุงโตเกียวกลับกรุงเทพเมืองแห่งความร้อนระอุของเรา รีบเดินทางไปยังสนามบิน ฮาเนดะ เพื่อขึ้นเครื่อง JAL  Bye Bye Tokyo , Bye Bye Japan












วันจันทร์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2556

Japan on Tour VII - ปราสาทมัตสึโมโต้ Matsumoto Castle



            Day IV - 28 Mar 13

                                หลังอาหารเช้า ออกเดินทางไปชมตลาดยามเช้าของเมือง Takayama  ริมแม่น้ำ Miyagawa  หนึ่งในตลาดที่มีชื่อเสียงของญี่ปุ่น เปิดตั้งแต่เวลา 06.00 - 12.00 น.ได้เห็นชาวบ้านนำสินค้าต่าง ๆ มาจำหน่ายบนถนนสองข้างทางเดิน  พืชผักผลไม้ ผักดองต่าง ๆ ขนมสารพัดชนิดในกล่องสวยงามตามแบบฉบับญี่ปุ่น เช้านี้อากาศหนาวแถมฝนพรำ ๆ เพิ่มความหนาวเย็นมากเข้าไปอีก 









    








                        


ขนมลูกพลับกวนที่ได้ชิมแล้วอร่อยจริง

                              ออกจากตลาดเดินทางต่อไปยังเมืองมัตสึโมโต้ จุดหมายคือปราสาทมัตสิโมโต้ หรือ ปราสาทอีกา ( Crow Castle ) 1 ใน 10 ปราสาทสวยงามที่สุดในญี่ปุ่น



                           ที่ได้ฉายาว่า ปราสาทอีกา เนื่องจากตัวปราสาทเป็นสีดำสนิท ปีกด้านต่าง ๆ ของปราสาทแผ่ขยายกางออกเหมือนดั่งปีกนก ปราสาทนี้ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1590 โดย อิชิกาว่า โนริมาซะ เพื่อใช้เป็นที่พักของเจ้าเมืองในอดีต  




                            ปัจจุบันปราสาทมัตสึโมโต้ ได้ถูกจัดให้เป็นสมบัติแห่งชาติญี่ปุ่น และเป็นพิพิธภัณฑ์จัดเก็บข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของประเทศและของจังหวัด Nagano  




ซุ้มประตูทางเข้า
จุดจำหน่ายตั๋ว
บรรยากาศภายในปราสาท
บันไดไม้ขึ้น-ลงที่ทั้งแคบ ชัน และลื่น
วิวมองจากหน้าต่างปราสาท
ทุกคนต้องเปลี่ยนรองเท้าและหิ้วถุงรองเท้าเข้าไป
สวนซากุระจุดถ่ายรูปก่อนถึงปราสาท

                           ค่าเข้าชมปราสาท 600 เยน เปิดให้ชมระหว่างเวลา 08.30 - 17.00 น.ทุกวันยกเว้นวันที่่ 29 ธันวาคม - 3 มกราคมของทุกปี 


set อาหารกลางวันสุดอร่อย
          
เจ้าตัวนี้ต้องอยู่คู่ปราสาททุกที่ไม่ว่าเอเชียหรือยุโรป



เย็นนี้เข้าที่พัก Kasugai Hotel เมือง Yamanashi แหล่งออนเซนน้ำแร่ธรรมชาติและขาปูยักษ์









                    พรุ่งนี้ก็เป็นวันสุดท้ายของ Japan on Tour แล้ว