วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ปอเปี๊ยะสดเวียดนามใส้วุ้นเส้น








                  เห็นแผ่นใบเมี่ยงใส่ซองแพ็คขายใน Supermarket ลองซื้อมาเพราะอยากทำ


เครื่องปรุง

1. หมูสับ ขีด 
2. ซีอิ้วขาว ชต
3. ซอสปรุงรส ชต
4. ซอสหอยนางรม ชต
5. น้ำตาลทราย ชต

6. วุ้นเส้นแช่น้ำจนนิ่มตัดสั้น 1 ห่อเล็ก
7. ใบเมี่ยงเวียดนาม 
8. ใบโหระพา ผักต่าง ๆ ที่ชอบ

9. น้ำมันพืช
10.กระเทียมสับ 3 กลีบ
11.กล่ำปลีซอย 1 ถ้วย
12.เห็ดชิเมจิสดล้างสะอาด หั่นท่อน ๆ 1/2 ถ้วย


เครื่องปรุงน้ำจิ้ม

1. น้ำส้มสายชู 1/2 ถ้วย
2. น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วย
3. เกลือป่น ชช
4. พริกชี้ฟ้าแดง ชต
5. กระเทียม ชต

6. ถั่วตัดโขลกหยาบ ๆ 2/3 ถ้วย

วิธีทำน้ำจิ้ม

1. โขลกพริกชี้ฟ้าแดงกับกระเทียมให้ละเอียด ตักใส่หม้อใบเล็ก
2. ใส่น้ำส้มสายชู น้ำตาลทราย เกลือป่น ผสมกับพริกกระเทียมที่โขลกไว้
3. ตั้งเตาเคี่ยวเป็นเวลา 10 นาที เทใส่ถ้วย ใส่ถั่วตัด คนให้เข้ากัน


วิธีทำใส้

1. ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืช 2 ชต เจียวกระเทียมจนหอม
2. ใส่หมูสับลงผัด ยีให้กระจาย ตามด้วยกล่ำปลี เห็ดชิเมจิ
3. ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว ซอสปรุงรส ซอสหอยนางรม น้ำตาลทราย คลุกให้เข้ากัน 
4. ตักขึ้นพักไว้






เตรียมรับประทาน

1. เตรียมใบเมี่ยง โดยนำใบเมี่ยงมาพรมหรือแช่น้ำเล็กน้อย เพื่อให้นิ่ม
2. 
นำใบเมี่ยงแผ่บนเขียงหรือจานอย่างเบามือ นำใส้ที่ผัดไว้ใส่ลงไป  ห่อให้แน่น ๆ
3. จะหั่นเป็นท่อนพอคำ หรือจะทอดให้กรอบก็ได้ ทานกับน้ำจิ้มสุดแซ่บและผักสด







วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ใบเหลียงผัดไข่







                                    ใครรู้จักไม่รู้จักใบเหลียงกันบ้าง

                              เคยไปทานอาหารร้านปักษ์ใต้กับเพื่อน ๆ สั่งใบเหลียงผัดไข่ แย่งกันฉก อร่อยมาก ๆ ใบเหลียง ใบอะไรไม่รู้จัก

ใบเหลียง  



ขอบคุณภาพจาก oknation

                      เป็นไม้พุ่มยืนต้น สูงประมาณ 1-2 เมตร ใบเรียวยาว เป็นผักพื้นบ้านแถบจังหวัดในภาคใต้ อุดมไปด้วยเบต้าแคโรทีน แคลเซียมและฟอสฟอรัส ใบมีรสชาติหวาน ๆ มัน ๆ 

เครื่องปรุง

-ใบเหลียง1 กำ ล้างสะอาด เด็ดเป็นใบ ๆ ไม่เอาใบแก่
- ไข่ไก่ 2 ฟอง
- กระเทียมสับ 3 กลีบใหญ่
- น้ำมันหอย 
- ซีอิ๊วขาว
-พริกขี้หนูบุบ 3-4 เม็ด (ไม่ชอบเผ็ดไม่ต้อง)
- น้ำมันพืช

วิธีทำ

1.ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืช 2 ชต.ใส่กระเทียมสับลงไปเจียว 
2.พอกระเทียมเริ่มหอม ใส่ใบเหลียงลงไป ต่อด้วยพริกขี้หนู
3.ผัดคลุกไปมาพอสุก แหวกกลางกระทะให้ว่างไว้
4.เตาะไข่ลงในกลางกระทะ ยี ๆ ให้สุก ผัดคลุกเคล้ากับใบเหลียง
5.ปรุงรสด้วยน้ำมันหอย ซีอิ๊วขาว จนรสถูกใจ ปิดไฟ
6.ตักใส่จานพร้อมเสิร์ฟกับข้าวสวยร้อน ๆ ยิ่งได้น้ำพริกกะปิแซ่บ ๆ ละก็ สุโค่ยยยย



วันจันทร์ที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2556

ข้าวโอ๊ตทรงเครื่อง








                       
                                   เช้าวันหยุดทำเมนูข้าวโอ๊ตทรงเครื่องทานกัน เพราะใช้เวลามาก

เครื่องปรุง (เยอะหน่อยเพื่อความอร่อย)

1.ข้าวโอ๊ตกระป๋อง (ขายใน Supermarket)
2.หมูสับ 1 ถ้วย
3.อกไก่ลอกหนัง 1 ชิ้น
4.ซี่โครงไก่ 1 อัน
5.กระเทียมบุบ 3 กลีบใหญ่
6.ถั่วแดงชนิดเม็ดเล็ก 1 ชต
7.เม็ดบัวแห้ง 2 ชต
8.ข้าวบาร์เล่ 1 ชต
9.เห็ดหอมแห้งแช่น้ำให้นิ่ม หั่นบาง ๆ 6-7 ดอก
10.ต้นหอมผักชีซอย
11.ขิงซอย
12.ผงปรุงรส เกลือป่น ซีอิ๊วขาว 
13.กระเทียมเจียว
14.กังป๋วย(หอยเชลล์แห้ง )  2 ชิ้น
15.พริกไทยป่น

วิธีทำ

1.ต้มน้ำให้เดือด ใส่กระเทียมบุบ เกลือป่นนิดหน่อย ซี่โครงไก่ และอกไก่ลงไป
2.นำอกไก่ที่สุกแล้วขึ้นจากหม้อ ฉีกเป็นฝอย ๆ พักไว้
3.ใส่ถั่วแดง ข้าวบาร์เล่ เม็ดบัว กังป๋วยลงไป (ทุกอย่างล้างให้สะอาดก่อน) และเห็ดหอม เคี่ยวไฟอ่อน ๆ จนเปื่อยได้ที่  ประมาณ 1 ชม.
4.ตักโครงไก่ออก ปรุงรสน้ำซุป ด้วยเกลือป่น ซีอิ๊วขาว
5.รวนหมูสับกับผงปรุงรส 1/2 ชช จนสุก ตักขึ้นพักไว้



6.เวลาจะทาน ให้ตักข้าวโอ๊ต 5-6 ชต โรยหน้าด้วยหมูสับ ไก่ฉีก ขิงซอย กระเทียมเจียว ต้นหอมผักชี และพริกไทยป่น  ตักน้ำซุปที่เคี่ยวไว้ร้อน ๆ ใส่ในชาม พร้อมเสิร์ฟ


วันเสาร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2556

หมูผัดกิมจิห่อสาหร่าย





                 
                      ไหน ๆ ก็ทำเมี่ยงกิมจิแล้ว มาต่อกันด้วยหมูผัดกิมจิห่อสาหร่ายกันดีกว่า
เครื่องปรุง

1.ข้าวญี่ปุ่นหุงสุก ปรุงรสด้วยน้ำส้มสายชู  น้ำตาลทราย  เกลือป่น คลุกให้เข้ากัน พักไว้ให้เย็น
2.หมูสันใน หรือหมูสับ 
3.กิมจิซอยละเอียด
4.ขิงซอย
5.กระเทียมสับ
6.ต้นหอมซอย
7.พริกเกาหลีโกชูจัง
8.แผ่นสาหร่ายสำหรับทำซูชิ
9.น้ำมันพืช

วิธีทำใส้

1.ตั้งกระทะ ใส่น้ำมันพืช 1 ชต พอร้อนใส่กระเทียมสับ ตามด้วยหมู
2.ผัดพอสุก ใส่กิมจิ ขิงซอย พริกโกชูจัง 2 ชต คลุกเคล้าให้ทั่ว
3.ใส่ต้นหอมซอยเป็นอันดับสุดท้าย ชิมรสจัดหน่อยเพราะจะใส่เป็นใส้
4.ปิดไฟ เตรียมพร้อมห่อ


วิธีการห่อ




1.กางเสื่อหรือมู่ลี่ไม้ไผ่ วางแผ่นสาหร่ายบนเสื่อ ใส่ข้าวญี่ปุ่นโดยเกลี่ยให้แบนแนบกับสาหร่าย จะเกลี่ยทั้งแผ่นหรือด้านเดียวก็ได้ ต่อจากนั้นตักใส้หมูผัดกิมจิที่ผัดไว้เกลี่ยลงไป (อย่ามากเดี๋ยวใส้ทะลัก)



2.เริ่มม้วนเสื่อให้แน่นและคลายออก 


3.ม้วนและคลาย ๆ ออกไปเรื่อย ๆ จะได้ดังภาพ



4.ม้วนจนสุดปลายสาหร่าย จะได้ซูชิสวยงามตามภาพ (อิอิ)



5.ใช้มีดคม ๆ หั่นเป็นท่อนพอคำ อย่างเบามือ ระวังจะแตกหรือเละหมดสวย ทานกับโชยุ วาซาบิ ขิงดอง





วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เมี่ยงกิมจิ





                  เคยทานเมี่ยงปลาทูแบบไทย ๆ คราวนี้ลองมาทานเมี่ยงกิมจิแบบเกาหลีกันบ้าง

เครื่องปรุง

1.หมูสับ           1  ถ้วย
2.กระเทียมสับ 2  กลีบใหญ่
3.ขิงสับ            1  ชต
4.ต้นหอมญี่ปุ่นซอย 1  ต้น
5.กิมจิผักกาดขาวสับละเอียด 1/2 ถ้วย
6.โชยุ               1  ชช
7.น้ำมันพืช       1  ชต
8.ผักต่าง ๆ เช่นผักกาดหอม ผักกาดแก้ว ใบชะพลู ผักกาดขาวล้างสะอาด

วิธีทำ

1.ใส่น้ำมันพืชลงในกระทะ ใส่หมูสับตามลงไป ผัดพอสุก
2.ใส่กระเทียมสับ ขิงสับ ต้นหอมญี่ปุ่นซอย
3.ใส่กิมจิสับ ปรุงรสด้วยโชยุ คลุกเคล้าให้เข้ากัน ปิดไฟ
4.เวลาจะทานใช้ผักห่อทานแบบเมี่ยง


วันพฤหัสบดีที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2556

Sleepy Hollow TV Series 2013






                                16 กันยายน 2013 Fox Channel แห่งอเมริกา ได้เสนอฉายสุดยอด Series เรื่องใหม่ล่าสุดแนวสยองขวัญสั่นประสาท สืบสวนสอบสวน (ชอบๆๆ) เรื่อง  Sleepy Hollow

                                Sleepy Hollow สร้างจากนวนิยายสมัยปี ค.ศ.1820 เรื่อง The Legend of Sleepy Hollow เรื่องเริ่มต้นในปี ค.ศ.1781 นายทหารหนุ่ม(หล่อ)แห่งกองทัพโคโลเนียล นาม Ichabod Crane ( Tom Mison)ได้เข้าร่วมสงครามสู้รบในภารกิจของท่านนายพล George Wasinngton ระหว่างต่อสู้ป้องกันตัวกับทหารม้าข้าศึก Crane ได้บั่นหัวทหารม้าคนนั้นจนขาดกระเด็น แต่ตัวเองก็อาการแทบปางตายจนหมดสติไป โดยไม่รู้เลยว่าเลือดของเขาและผีหัวขาดบนหลังม้าได้ไหลรวมตัวกัน




                                Ichabod Crane พบตัวเองฟื้นขึ้นมาอีกครั้งจากหลุมลึกสู่โลกปัจจุบัน ในเมือง Sleepy Hollow New York แต่การกลับมาครั้งนี้ไม่ได้มาเพียงเขา แต่นำมาซึ่งความชั่วร้ายคืนกลับมาพร้อมกันของทหารผีหัวขาดบนหลังม้าสีขาวตาสีแดงเพลิงและมีขวานเป็นอาวุธ  คดีมาตรกรรม การตายของผู้คนในรูปแบบต่าง ๆ อีกมากมายที่เขาและตำรวจหญิง Abbie Mills ต้องคลี่คลายสะสาง และสืบหาว่าเขาฟื้นกลับมาในโลกปัจจุบันได้อย่างไร

                               Season 1 มี 13 ตอน ฉายมาถึงตอนที่ 9 แล้ว สนุกจนต้องบอกต่อค่ะ


(ขอบคุณภาพจาก google)





วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ราเมงไก่ซุปมะเขือเทศ











                            ช่วงนี้ร้านญี่ปุ่นหลาย ๆ แห่งมีเมนูยอดฮิตคือราเมงน้ำซุปมะเขือเทศ น้ำจะสีแดงไม่เหมือนราเมงทั่ว ๆ ไป ลองชิมจากร้านดังใต้ดิน Central ลาดพร้าว อร่อยดี ต้องลองทำเองเช่นเคย

เครื่องปรุง

1.เส้นอุด้ง 100 กรัม
2.เนื้อสะโพกไก่ติดหนังจะอร่อย 2 ชิ้น 
3.ต้นหอมญี่ปุ่นซอย 1 ต้น
4.ซีอิ๊วญี่ปุ่น
5.น้ำมันงา 1 ชช
6.งาขาวคั่ว 1/2 ชช
7.มะเขือเทศสีดาผ่าครึ่ง 5 ลูก
8.ผงปลาคัตสึโอะอบแห้ง 1 ชต
9.ซอสซัลซ่า
10.พริกไทยป่น

วิธีทำ

1.เส้นอุด้งต้มในน้ำเดือด 9 นาที ตักขึ้นแช่ในน้ำเย็นไว้
2.เนื้อสะโพกไก่ หั่นพอคำ หมักซีอิ๊วญี่ปุ่น 1 ชต หมักไว้ 10 นาที
3.ต้มน้ำให้เดือด ใส่ผงปลาคัตสึโอะอบแห้งลงไป
4.ใส่เนื้อไก่หมัก น้ำมันงา งาขาวคั่ว ตามด้วยซอสซัลซ่า 3 ชต
5.ใส่มะเขือเทศ เคี่ยวไฟอ่อนจนไก่เปื่อยนุ่ม
6.ชิมรสตามชอบ อาจเติมซอสซัลซ่าและซีอิ๊วญี่ปุ่นเพิ่มได้
7.เวลาทาน ตักเส้นอุด้งใส่ชาม ราดด้วยน้ำซุป โรยต้นหอม พริกไทย พร้อมเสิร์ฟ

Tips  เราใช้ซอสซัลซ่าสำเร็จรูปเพื่อไม่เสียเวลาเคี่ยวมะเขือเทศทำน้ำซุป สะดวกรวดเร็วดีค่ะ อร่อยด้วย


วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

มะเร็งร้ายกับสุนัขแสนรัก-ภาคต่อ








                           หลังผ่านวิกฤตมะเร็งต่อมน้ำเหลืองไป 6 เดือน (คีโมเข็มสุดท้าย มิย .56) เจ้าอ้วนของเราก็เริ่มจะมีอาการอีกแล้ว

                          แม้จะพยายามระวังในการให้อาหารโดยพยายามเลือกแบบชีวจิต กินผักกินปลาเท่าใด เจ้าโรคร้ายนี้ก็ยังสามารถหวลคืนกลับมาได้อีกตามที่คุณหมอว่าไว้ไม่มีผิด เจ้าอ้วนเริ่มมีก้อน ๆ ตามลำตัว คราวนี้โผล่มาหลาย ๆ แห่ง ก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง คลำเจอแล้วตกใจไม่น้อยเลย งานเข้าอีกแล้ว

                          7 วันก่อนพาไปพบสัตวแพทย์ท่านเดิมที่ดูแลกันมา เจาะเลือดตรวจ ทำอัลตราซาวน์ วันนี้คุณหมอโทรมาแจ้งผลตรวจ ภาวนาว่าขอให้เป็นข่าวดี แต่อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ผลตรวจออกมาเป็นข่าวร้าย เจ้าอ้วนเป็นมะเร็งผิวหนัง เริ่มนับหนึ่งกับการทำเคมีบำบัดอีกครั้ง

                           เป็นกำลังใจให้ผุด ๆ เลยนะเจ้าอ้วนที่รัก


Update 13/1/14

                           เจ้าอ้วน Angela จากเราไปสวรรค์แล้วเมื่อ 6/1/14 อย่างสงบ หมดทุกข์ทรมานในร่างกาย ทุกคนรักและอาลัยเจ้ามาก ๆ จะคิดถึงเจ้าไม่เสื่อมคลายนะ




Dracula Vampire 2013






                             ใครที่เคยชื่นชอบนาย  Jonathan Rhys Meyers จาก The Tudors Series เตรียมตัวพบกับเขาได้อีกแล้วในปีนี้ กับ Series  ใหม่ล่าสุดแนวลึกลับมาตรกรรมของสถานีโทรทัศน์ NBC อังกฤษ เรื่อง " Dracula "

                             จากทีมผู้สร้าง  Downton Abbey  และผู้กำกับ The Tudors นำนวนิยายของนักเขียนชาวไอริชมาทำเป็น series ใหม่ ได้หนุ่มหล่อ  Jonathan Rhys Meyers มารับบทบาท Lord Dracula ผู้มีเสน่ห์ชวนให้สาว ๆ หลงใหล ในเรื่องนี้ ท่าน Lord เดินทางมายังลอนดอนอังกฤษ ในปี ค.ศ.1896  และแทรกซึมเข้าไปในแวดวงสังคมผู้ดีชั้นสูงยุควิคตอเรียโดยเปลี่ยนชื่อเสียงเรียงนามใหม่เป็น Alexander Grayson นักธุรกิจชาวอเมริกัน งานนี้ก็เพื่อล้างแค้นทุกคนที่เคยคิดร้ายกับเขาในอดีตนั่นเอง

                             ไม่ว่า Dracula version ไหนสมัยใดก็ไม่พ้นเรื่องรักสาว ๆ  ท่าน Lord ต้องให้พานพบหญิงสาวนักเรียนแพทย์นาม Mina Murray ( นำแสดงโดยนักแสดงสาวชาวออสเตรเลียน Jessica De Gouw ) ที่เขาไม่อาจทำลายหรือทำร้ายได้ ด้วยคิดว่าเธอคืออดีตภรรยาสุดที่รักที่กลับชาติมาเกิด ทึกทักน่าดู





                            คาดว่า Season  1 จะมี 7 ตอนจบ โดยเสนอฉายทุกคืนวันศุกร์ตามเวลาประเทศอังกฤษตั้งแต่ปลายเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  ไทยเราคงได้ชมในไม่ช้า ห้ามพลาด หากเป็นแฟนพันธุ์แท้ของนาย  Jonathan Rhys Meyers 







    

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

9 วันในฝรั่งเศส -X - วันสุดท้าย



                       23 กันยายน 56



                 
                          ยังคงเดินเล่นอยู่บนถนน Champs Elysees ผ่านสถานที่หนึ่งเป็นอาคารทรงโบราณมีรั้วรอบขอบชิดสวยคลาสสิค และยังมียามเฝ้าหน้าประตูคอยจัดคิวให้ลูกค้าเข้าไปภายใน เห็นใบหน้ายามแล้วไม่กล้าเข้าไป  มาทราบทีหลังว่าเป็นร้านเสื้อ  Abercromble & Fitch ของชาวอเมริกันมาตั้งบนถนนแฟชั่นในปารีส ทำซะให้คิดว่าเข้าไปแล้วจะไม่ได้กลับออกมา

                          นั่งเมโทรต่อไปยังที่สุดท้ายที่อยากจะไปก่อนกลับ นั่นคือ Opera Garnier   ลงสถานีที่มีชื่อเดียวกัน คือ Opera เดินขึ้นมาจากสถานีเมโทรหันหลังมาก็เจอเลย โรงละครเก่าแก่ที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ที่สุดในโลก จุคนดูได้ 2,000 คน บนระเบียง 17 ชั้น แต่เรามาเย็นไป มัวแต่เดิน shopping ที่นี่ปิดให้เข้าชมแล้ว (อดได้ตังค์เรา)  



                    
                               Opera Garnier  สร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์นโปเลียนที่ 3 ออกแบบโดยนาย Garnier สถานที่แห่งนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดนิยายดังเรื่อง Phantom of The Opera  เปิดให้ชมภายในระหว่างเวลา 10.00 - 17.00 น.ยกเว้นวันที่มีการแสดง ค่าเข้าชม 8 ยูโร

                               เมื่ออดเข้าชม เราก็ชมรอบ ๆ 360 องศา ตึกสวย ๆ รายล้อมเต็มไปหมด ด้านข้าง Opera เป็นจุดจอดรถ Roissybus  ที่มาจากสนามบิน CDG เมื่อวันแรกที่เดินทางมาถึง




                                   เดินลัดเลาะไปด้านหลัง Opera มีแหล่ง shop ใหญ่คือ ห้างเก่าแก่กว่า 100 ปี  Galeries Lafayette แหล่งรวมสินค้า Brandnames ทุกชนิดมากมายให้กระจายเงินยูโรออกจากกระเป๋าได้อย่างง่ายดาย ที่นี่มีจุดบริการ Tax Refund ให้กับลูกค้า อย่าลืมขอเอกสารให้เรียบร้อยเพื่อนำไปยื่นที่สนามบินก่อนขึ้นเครื่องกลับบ้าน




                                   ขากลับไปสนามบิน CDG อาศัยบริการ Taxi เนื่องจากสัมภาระอีกตามเคย จากโรงแรมที่พักถึงสนามบินเกือบ 60 ยูโร จัดการเรื่อง Tax Refund เรียบร้อยรวดเร็วเนื่องจากคิวน้อยมาก ก็ถึงเวลาร่ำลา Paris แล้ว แล้วพบกันใหม่ Eiffel , Louvre , Versailles ฉันจะคิดถึงเธอเสมอ....



Tips  รู้ก่อนไปเที่ยวฝรั่งเศส

1.เวลาในฝรั่งเศสช้ากว่าบ้านเราประมาณ 5 ชั่วโมง
2.ไฟฟ้าใช้ขนาด 230 Volts ปลั๊กไฟขาเสียบแบบกลม 2 ขา 
3.รหัสโทรศัพท์ฝรั่งเศสคือ 33
4.น้ำประปาดื่มได้จากก๊อก (แต่ไม่ค่อยกล้า ซื้อน้ำขวดทุกที)
5.ห้องน้ำสาธารณะตามท้องถนนต้องหยอดเหรียญก่อนถึงจะเข้าได้ (ก็ไม่กล้าใช้อีก ทน ๆ เอา)
6.รถไฟใต้ดิน(Metro) ต้องกดปุ่มหรือบิดที่ประตูให้เปิดก่อนจึงจะเข้า-ออกได้
7.คนฝรั่งเศสแท้ ๆ มีน้ำใจมาก และจะพูดอังกฤษถ้าอยากจะพูด
8.นักล้วงกระเป๋าไม่ได้มีทุกที่เสมอไป อย่ากังวลจนจิตตก (เหมือนเราตอนจะคิดไปอย่างมากกกกก)
9.การขอ Tax Refund ต้องซื้ออย่างต่ำ 175 ยูโรในวันเดียวกันและร้านค้าเดียวกัน ผู้ยื่นขอต้องอายุ 16 ปีขึ้นไป โดยเลือกได้ 2 วิธีว่าจะรับเงินสดหรือคืนเข้าบัตรเครดิต
10.หากจะส่งพัสดุให้ลูกหลานที่ไปเรียนที่ฝรั่งเศส ใช้เวลาเดินทางของพัสดุประมาณ 15 วัน
11.สุดท้ายท่องเที่ยวด้วยตนเองเหนื่อยแต่ก็สนุกที่สุด ขอบอก



วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

9 วันในฝรั่งเศส - IX Avenue des Champs-Elysees








      22 กันยายน 56

                                 พักอยูใน Aix en Provence 2 คืน ได้เวลา check out จากโรงแรม เพื่อเดินทางกลับ Paris ยังมีที่เที่ยวและที่ shop อีกหลายแห่งที่ยังไม่ได้ไปเยือน

                                 นั่งรถไฟ TGV กลับถึง Paris ก่อนเที่ยง รับกระเป๋าเดินทางใบใหญ่ยักษ์คืนจากตู้รับฝากกระเป๋า มุ่งหน้าไปยังที่พักใหม่ที่จองไว้ล่วงหน้า  กระเป๋าทำให้ต้องใช้บริการ Taxi คราวนี้เราเลือกพักในเขต 13  Hotel Coypel เพราะอยู่ใกล้สถานี Metro place d'Italie แค่เดินไม่กี่ร้อยเมตร ไปไหนมาไหนสะดวก แถม Free Wi-Fi



วิวเมืองเขต 13 จากหน้าต่างห้องพักในโรงแรม


                              เมื่อ check- in เสร็จสรรพ ก็ออกเดินทางท่องเที่ยวกันต่อ เรานั่ง Metro ไปลงสถานี Charles de gaulle - Etoile  ในเขต 8 พอขึ้นมาก็พบประตูชัย Arc de Triomphe เด่นชัดตรงข้างหน้าต้นถนน Champs - Elysees  ที่สร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์นโปเลียนในปี ค.ศ. 1806 เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะ ใช้เวลาก่อสร้างถึง 30 ปี (อะไรจะนานขนาดนั้นนะ) นักท่องเที่ยวพากันถ่ายรูปกันตรงเกาะกลางถนน ป้อมไฟแดง เพื่อเก็บภาพคู่กับประตูชัย บางคนก็เดินไปซื้้อตั๋วขึ้นชมด้านบน เพื่อดูวิวทิวทัศน์ถนน 12 สายบนความสูง 51 เมตร  หรือไม่ก็นั่งจิบกาแฟริมถนน Champs - Elysees ชมความอลังการของประตูชัยหรือชมผู้คนที่เนืองแน่นเต็มไปหมด

                             เราเดินไปตามถนนแห่ง shopping ที่ยาวเกือบสามกิโลเมตร ผ่านร้านค้า Brandnames ต่าง ๆ ผู้คนหิ้วแต่ถุงเต็มสองมือหลังออกจากร้านต่าง ๆ  จุดแรกที่ทุกคนสนใจบนถนนเส้นนี้คือ ร้าน Louis Vuitton ที่ต้องทนยืนต่อคิวเข้าแถวยาวเหยียดหน้าร้านเพื่อรอคิวเข้าไปเสียยูโร










                              พนักงานขายที่นี่มีหลากหลายเชื้อชาติเพื่อบริการลูกค้าทั่วโลก ดูแลลูกค้าอย่างดีแม้จะต้องรอคิวนานเพราะแต่ละคนที่เดินเข้าไปซื้อไม่ใช่น้อย ๆ ให้คุ้มกับยืนขาแข็งนาน เห็นสาว ๆ พอซื้อเสร็จต้องถือถุง LV ออกมาถ่ายรูปหน้าร้านกันอีกเพื่อยืนยันว่าซื้อของแท้นะจ๊ะ  ใครอยาก shop ร้านนี้เปิดทุกวัน 10 โมงเช้าถึง 2 ทุ่ม ส่วนวันอาทิตย์ เปิด 11 โมงเช้า ปิดเร็วหน่อย 1 ทุ่ม

                              ออกจากร้าน LV เดินตรงต่อไปจะพบร้านขนมหวานเก่าแก่ที่แสนอร่อย Laduree





                           ร้านขนมหวานที่ต้องยืนต่อคิวยาวออกไปถึงนอกถนนพอ ๆ กับ LV ร้านนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี ค.ศ.1862  ดังและอร่อยที่สุดในโลก ( เขาว่ากันมา ) คือขนม macarons หลากหลายสีสรร ที่นำขนมสองฝามาประกบกันด้วย ganache รสชาตืต่าง ๆ ทั้งนุ่มกรอบหอมอร่อยลิ้นไปหมด เก็บไว้ได้นาน 3-4  วันในตู้เย็น ชิ้นละ 1.8 ยูโร ว่ากันว่าร้านนี้ขายถึงวันละ 15,000 ชิ้น








         











                            เพลินตาจนเดินต่อไปไม่ไหวต้องขอหยุดพักก่อนเสียแล้ว เพราะว่าน่าทานทั้งนั้น แข้งขาเหมือนจะหมดเรี่ยวแรงถ้าไม่ได้ลองชิม




วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

9 วันในฝรั่งเศส - VIII Aix En Provence




เที่ยวเมือง Aix En Provence

20 กันยายน 13      checkout  โรงแรมแรกที่ใช้บริการก่อนเที่ยง เพื่อเดินทางไป Aix En Provence

                           เมือง   Aix En Provence  เป็นเมืองชนบทอยู่ทางตอนใต้ของประเทศฝรั่งเศส เมืองที่มีมหาวิทยาลัยชั้นดีให้ชาวฝรั่งเศสและชาวต่างชาติ รวมทั้งไทย ต้องส่งบุตรหลานมาเรียน เมืองที่มีน้ำพุในเมืองมากมายหลายแห่ง และยังเป็นเมืองบ้านเกิดของศิลปินนักวาดภาพลือชื่อ ปอล เซซาน (Paul Cézanne) ในช่วงฤดูร้อนเข้าฤดูใบไม้ร่วง จะเห็นทุ่งดอกลาเวนเดอร์สีม่วงเต็มสองข้างทางไปหมด แต่ช่วงที่เราเดินทางมา ผิดฤดูไปหน่อย แต่ความที่อยากมาเที่ยวเมืองนี้ (เนื่องจากไปอ่านเจอรีวิวของคนอื่น แต่ไม่เลือกดูเวลาจึงทำให้ไม่เห็นลาเวนเดอร์สักดอกเดียว ไว้ไปใหม่ )

การเดินทาง

                         จากปารีสไปเมืองเอ็กซ์ ซอง โปรวองซ์ เรานั่งรถไฟ TGV ความเร็วสูง 300 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เดินทางออกจากสถานีรถไฟ Gare de Lyon  Paris  ค่าตั๋วไป - กลับ คนละ 200 ยูโร กะไปนอนที่นั่น 2 คืน จึงฝากกระเป๋าเดินทางใหญ่ไว้ใน lockers ที่มีให้บริการรับฝากที่สถานีรถไฟแห่งนี้ เป็นการใช้บริการฝากกระเป๋าครั้งแรก มะงุมมะงาหราหาจุดฝากมองตามป้ายในสถานี กว่าจะหาตู้ที่ว่าง กว่าจะแลกเหรียญเพื่อหยอดค่าบริการ กว่าจะแบกกระเป๋าใหญ่ใส่ตู้แทบตกรถไฟเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นต้องเผื่อเวลาให้มาก ๆ หน่อย


ด้านหน้าสถานีรถไฟ Gare de Lyon


ห้องขายอาหารบนรถไฟ ที่นั่งถูกจับจองเต็มไปหมด

                         กว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึงสถานีเมืองเอ็กซ์  โดยทานอาหารเสร็จสรรพบนรถไฟ ที่มีตู้ขบวนห้องอาหารให้บริการ  สถานี  Aix En Provence TGV จะอยู่ห่างจากตัวเมืองประมาณนั่งรถก็ครึ่งชั่วโมง การเข้าตัวเมือง ใช้บริการได้ทั้งรถประจำทางหน้าสถานี หรือรถ Taxi  ซึ่งมีราคาสูงมากแต่สะดวกสบาย สำหรับผู้มีสัมภาระ  

                       เช็คอินเข้าที่พักยังโรงแรมที่เลือกสรรแล้วจากคะแนนรีวิวต่าง ๆ  Hotel Du Globe บนถนนกูร์ แซคทิอุส (Cours Sextius)


                            
                    เก็บกระเป๋าเสร็จ ก็ได้รับแผนที่เมืองและคำแนะนำจากเจ้าหน้าที่โรงแรมแสนน่ารักอัธยาศัยดีแนะนำสิ่งต่าง ๆ ให้ จึงรู้ว่าเมืองนี้เล็กนิดเดียว สามารถเดินเท้าท่องเที่ยวได้เองโดยรอบ หรือถ้าไม่อยากเดิน ใช้บริการรถไฟเล็กรอบเมือง ( Train Touristique) คนละ  7 ยูโร ขับวนชมทุกตรอกซอกซอยไม่มีจอดจนสุดสาย




                    ออกจากโรงแรม มุ่งหน้าไปทางขวามือก่อน ชมเมืองที่เงียบสงบร่มรื่น จนมาถึงถนน มิราโบ (  Cours Mirabeau) ถนนสายหลักของเมือง  พบน้ำพุ Rotonde เป็นน้ำพุใหญ่ประจำเมือง ที่จตุรัส  La Rotonde   บนยอดของน้ำพุ จะมีรูปปั้นหินอ่อนเทพี 3 องค์ หันหน้าไปยัง 3 ทิศ คือเทพีวิจิตรศิลป์ จะหันหน้าไปยังเมือง Arvignon    เทพียุติธรรม หันหน้าไปยังถนน Mirabeau และเทพีสุดท้าย เทพีการค้าการเกษตร จะหันหน้าไปเมือง Marseille


  
 
                           สองฝั่งถนนมิราโบเหมือนมีหลังคากันแสงแดดให้ผู้คนที่เดินชมเมือง ร่มรื่นด้วยต้นเชสท์นัท เดินมาเจอน้ำพุอีกแห่ง เป็นอนุสาวรีย์กษัตริย์เรเน่   อาคารบ้านเรือน โรงภาพยนตร์ ของชาวเมืองเอ็กซ์  


             


  







                        น้ำพุลือชื่ออีกแห่งหนึ่งบนย่านมาซาริน จะว่าสวยหรือไม่  เป็นน้ำพุปลาโลมา 4 ตัว พ่นน้ำออกมาทางปากใหญ่ ๆ น่าเกลียด    สร้างขึ้นเมื่อปี ค.ศ.1667



  


                        มาถึงเอ็กซ์ อย่าพลาดจิบกาแฟที่ร้านกาแฟเก่าแก่ที่สุดของเมือง  Les Deux Garçons บนถนนมิราโบ ที่มีมาตั้งแต่ ค.ศ.1792 ผู้คนนิยมนั่งทานกันนอกร้านมากกว่าในร้าน ชมวิวระหว่างจิบกาแฟ ทานอาหาร เสียอย่างเดียวเวลาเช็คบิลทำไมต้องบังคับให้ทิปด้วย แถมให้เขียนลงในบิลด้วยนะว่าจะทิปเท่าไหร่ เฮ้อ ไม่ให้จ่ายด้วยความเต็มใจเลยหรือไง











                  
                          คืนนี้ฝากท้องกับร้านอาหารเวียดนาม แสนอร่อย ชื่อร้าน Sinh - Ky ถนน de la Verrerie ไม่ผิดหวังจริง ๆ แถมเจ้าของร้านพูดไทยฟังภาษาไทยได้อีก ห้ามบ่นห้ามนินทาเชียว หลังอิ่มท้องก็ชมวิวเมืองยามค่ำคืนก่อนกลับที่พัก