วันพฤหัสบดีที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2556

9 วันในฝรั่งเศส - VII Palace of Versailles



credit pic.from wikipedia

19 กันยายน 13

                             เช้านี้ตื่นขึ้นมาเตรียมตัวไปเที่ยววังกัน Palace of Versailles 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก

การเดินทาง

                            นั่งรถไฟ RER  สาย C  สีเหลือง ที่สถานีรถไฟใต้ดินที่สามารถเชื่อมต่อกับ RER  (หากที่พักอยู่ไม่ใกล้ให้ต่อไปลงสถานีที่เชื่อมกับ RER ) สังเกตป้ายที่ชานชลาที่ยืนรอขบวนรถไฟจะต้องมีคำว่า  VICK  เท่านั้น จึงจะไปถึง  นั่งไปเพลิน ๆ ประมาณ 45 นาที สุดสายปลายทางลงที่สถานี Chateau de Versailles  เมื่อออกจากสถานีแล้ว ให้เลี้ยวขวา เดินมุ่งหน้าตรงไป พอถึงทางแยก มองไปทางซ้าย ก็จะเห็นความอลังการสีเหลืองทองอร่ามของวังอยู่ไม่ไกลแล้ว ใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 8-9 นาที







RER สาย C ขบวนนี้แหละ




ค่าเข้าชม           1.ในส่วนของพระราชวังคนละ 15 ยูโร เพิ่มหูฟังบรรยาย (11 ภาษา) อีก 3 ยูโร 
                            2.ถ้าอยากชม the Trianon Palaces and Marie-Antoinette's Estate ก็เพิ่มอีก 10 ยูโร

                            หากไม่ได้จองตั๋วล่วงหน้า หรือไม่มีตั๋ว Paris Museum Pass   จะต้องเดินไปยังตึกด้านซ้ายมือ (South Wing  ยืนหันหน้าเข้าหาวัง) จะเป็น Information Counter และจุดจำหน่ายตั๋ว และมีเครื่องขายตั๋วอัตโนมัติ เมื่อซื้อตั๋วได้แล้วก็เดินออกมายังทางเข้าด้านหน้าอีกที วันนี้โชคดี นักท่องเที่ยวไม่มาก แถวยาวเลยไม่ได้เห็น

เวลาเปิด - ปิด      พระราชวัง  09.00 - 18.30 น. ปิดวันจันทร์ 




                             Palace of Versailles ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของกรุงปารีส ห่างออกไป 20 กิโลเมตร ในเนื้อที่ 67,000 ตรม.ว่ากันว่าจำนวนห้องและหน้าต่างมีมากถึงอย่างละกว่า 2,000 บาน แต่เดิมเป็นแค่เพียงที่พักล่าสัตว์ของกษัตริย์ ภายหลังปี ค.ศ.1678 จึงปรับเปลี่ยนเป็นที่ประทับของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่มีรูปปั้นทรงม้าอยู่ด้านหน้าพระราชวัง




                              ผ่านทางเข้าเข้ามาถึง Royal Courtyard อุแม่เจ้า งดงามจริง ๆ กลางลานหินอ่อน    มองไปทางไหนก็เป็นสีทองไปหมด นี่ละเรียกว่าหลุยส์ของแท้ เดินตรงเข้าไปในส่วนของ The King ' s State Apartment  จะพบห้องต่าง ๆ มากมาย ทั้งห้องภาพเขียน ห้องเกมส์ ห้องบุพเฟ่ส์ ห้องเต้นรำของพระราชา ห้องทรงพักผ่อนชมวิว Marble Courtyard










                             
                            พื้นที่ภายในชั้นที่หนึ่ง มีสิ่งสำคัญน่าชมหลายอย่าง ตามห้องต่าง ๆ เช่น drawing-room of Plenty , Hall of Mirrors อันงดงามตระการตา , King chamber , Queen 's bedchamber 












                            ในส่วนของสวนด้านนอกอันกว้างใหญ่ไพศาล หากขยันเดินออกกำลัง ซึ่งก็เห็นฝรั่งมากมายเดินกัน ก็เดินชมกันไป อาจจะสวยงามจนหายเหน็ดเหนื่อย แต่ถ้าขี้เกียจแบบเรา ก็ต้องพึ่งบริการ รถไฟขบวนเล็กชมสวน ( de Versailles en Petit Train ) ที่มีให้บริการ เพียงต่อแถวเข้าคิวซื้อตั๋วคนละ  6.9 ยูโร ก็สบายหายเมื่อย จะขึ้นลงจุดไหน ก็สามารถต่อขบวนใหม่ด้วยตั๋วเดิมได้ตลอดวัน  แถมมีร้านอาหารให้บริการตามจุดต่าง ๆ เผื่อคนที่อยากพักผ่อนอิริยาบท 










ขอบคุณ 2 ภาพสวย ๆ กว่าฝีมือเราจากweb chateauversailles
                           ขากลับเดินไปยังสถานีรถไฟเดิม เพื่อเดินทางกลับปารีส  เนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว เพราะทุกคนจบจาก Versailles ก็ต้องมุ่งหน้ามาที่สถานีแห่งนี้ คิวซื้อตั๋วเครื่องอัตโนมััติยาวเหยียดแทบล้นออกไปนอกสถานีรถไฟ กว่าจะหยอดเงินซื้อตั๋วได้นานมากกกกก  ค่าตั๋วคนละ 3.35 ยูโร ถึงปารีสก็มื้อเย็นพอดี

                          พรุ่งนี้ต้อง checkout จากโรงแรมเพื่อออกเดินทางท่องเที่ยวนอกปารีสกัน


วันอังคารที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2556

9 วันในฝรั่งเศส - VI Louvre Museum






18 กันยายน 13

                             วันนี้ตั้งใจไปชมความงามของคุณ  Mona lisa ที่พิพิธภัณฑ์ Louvre

การเดินทาง          นั่ง Metro สาย 1 หรือ  7 ลงสถานี Musee du Louvre  

เวลาเปิด - ปิด      เปิดทุกวัน  09.00 - 17.30 น.หยุดวันอังคาร , วันที่ 1 มกราคม , 1 และ 8 
                            พฤษภาคม และวันที่ 25 ธันวาคม 

ค่าเข้าชม             ฟรีทุกวันอาทิตย์แรกของเดือน และวันที่ 14 กรกฎาคม (วันชาติฝรั่งเศส)
                            ค่าเข้าชมคนละ 12 ยูโร ซื้อตั๋วจากเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ




                            
                             ป้อมปราการเก่าแก่ดั้งเดิมของฝรั่งเศส ที่ผันแปรเปลี่ยนเป็นพระราชวังหลวงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14  สุดท้ายกลับกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ที่โด่งดังไปทั่วโลกในปี ค.ศ.1793 และ Pyramid แก้วสูง 22 เมตร ถูกสร้างขึ้นภายหลังในปี ค.ศ.1989 โดยสถาปนิกชาวอเมริกันเชื้อสายจีน



  
                             ลานด้านหน้าทางเข้าหลักจะพบกับประตูชัยหินอ่อน  Are  du Currousel  เราเดินตรงไปยัง Pyramid ที่ใช้เป็นทางเข้าของพิพิธภัณฑ์ หากไม่ซื้อตั๋วล่วงหน้ามา ต้องยืนรอเข้าแถวยาวเหยียด และเมื่อเดินเข้าไปด้านในแล้ว ก็ไปซื้อตั๋วกับเครื่องได้เลย

                            พิพิธภัณฑ์มีทั้งหมด 5 ชั้น (-2 , -1 , 0 , 1 และ 2 )  3 ปีก ( Denon wing , Sully wing , Richelieu wing ) 

                 ชั้น -2   Hall Napoleon ( Under the Pyramid ) 
                 ชั้น -1   Lower Ground Floor  
                 ชั้น  0   Ground Floor  2  ชั้นนี้มีสิ่งสำคัญคือ รูปปั้น Venus , Psyche and Cupid , Michelangelo (ฝั่ง Denon Wing)  
              










                
                      ชั้น  1  1st Floor ชั้นนี้แหละที่ทุกคนใฝ่ฝันหา แน่นขนัดเบียดเสียดเพื่อจะได้ยลโฉมคุณ Mona lisa ( Denon Wing) และอีกสิ่งที่น่าชมคือ Napoleon III Apartments (Richelieu Wing)


                                              มีใครเห็น Mona Lisa บ้าง



                

















               และชั้นสุดท้าย ชั้น  2  2nd Floor





             เดินจนเมื่อยขา ทั้งชมทั้งถ่ายรูปงานศิลปะที่นี่มีไม่ต่ำกว่า 350,000 ชิ้น ยังดีที่มีห้องน้ำอำนวยความสะดวกทุกชั้น ห้องอาหาร น้ำชากาแฟ เค้กให้แวะพักขาเติมพลัง มิน่าเขาถึงว่าต้องใช้เวลาเกือบ 3 วันหากจะดูอย่างพินิจเช่นผู้เสพย์งานศิลป์  เราเสพย์พออิ่มจุกท้องพอ



                     ใครที่ได้ดูภาพยนตร์ The Davinci Code ต้องมองหาเจ้านี่ Pyramid แก้วกลับหัว กับ Pyramid ที่ชั้นใต้ดิน ส่วนแหลมที่เกือบจะแตะกัน เป็น Hilight ที่ใคร ๆ ต้องมาถ่ายภาพ

                     หมดไป 1 วัน รีบกลับไปนอนเอาแรงตามเคย เพราะพรุ่งนี้จะไป Versailles แล้ว





วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2556

9 วันในฝรั่งเศส - V Cathe'drale Notre Dame de Paris




17 กันยายน 13  บ่าย

                           เดินทางไปชมสถานที่สำคัญที่มาปารีสแล้วต้องไม่พลาด คือ มหาวิหาร Notre Dame ตั้งอยู่ในเขต  4 ฝั่งตะวันออกของ Paris  บนเกาะ Cite' ที่ล้อมรอบด้วยแม่น้ำ Seine

การเดินทาง   นั่ง  Metro  สาย 4 ลงสถานี Cite' 

                          คำว่า Notre Dame แปลว่า  Our Lady ซึ่งเป็นคำที่ชาวคาทอลิกใช้เรียกพระนางมารี ปัจจุบันอาสนวิหารก็ยังใช้เป็นโบสถ์โรมันคาทอลิกและเป็นที่ตั้งอาสนะของอาร์ชบิชอปแห่งปารีส มหาวิหาร Notre Dame ถือกันว่าเป็นโบสถ์ที่สวยงามที่สุดในลักษณะ Gothic แบบฝรั่งเศส สร้างขึ้นในปี ค.ศ.528 และเสร็จลุล่วง ถึง 200 ปี



              
                    เดินออกจากสถานีมา มองไปทางขวามือ จะเห็น  Saint Chapelle ตั้งตระหง่านสวยงามอยู่ตรงหน้า ซี่งปัจจุบันใช้เป็นที่ทำการศาลยุติธรรม  



                  เราเดินชมวิวเลียบริมฝั่งแม่น้ำ Seine บนเกาะ Cite' จะมองเห็นโบสถ์อยู่ลิบ ๆ ปีนี้เฉลิมฉลองครบรอบ 850 ปีของโบสถ์ เก่าแก่จริง ๆ  เลี้ยวขวามาบนถนน Rue d' Arcole จากสถานีถึง Cathedral ระยะทางรวม 400 เมตร เดินเท้าประมาณ 5 นาที





                    เมื่อเดินมาถึงหน้าทางเข้าโบสถ์ จะเห็นคิวนักท่องเที่ยวต่อแถวเข้าชมยาวเหยียด ที่นี่เข้าชมฟรี ตั้งแต่เวลา 07.45 - 18.45 น. ทางเข้าโบสถ์จะมีประตู 3 ประตู คือ 1.The Portal of the Virgin 2.The Portal of the Last Judgement 3.The Portal of Saint Anne มองขึ้นไปเหนือประตูจะมีรูปสลักกษัตริย์โบราณ 28 พระองค์ และเหนือขึ้นไปอีก จะเป็น Rose Window  รูปของพระแม่มารี















                     หากอยากจะชมจากมุมสูง ด้านขวามือของโบสถ์จะมีบันได 387 ขั้นขึ้นไปถึงหอคอยได้อีก แต่ต้องเสียเงินค่าขึ้น 8 ยูโร

                     เดินกลับมายังสถานี Cite' หากเดินข้ามสะพานไปยังฝั่งขวาของแม่น้ำ Seine จะพบโบสถ์ Saint Germain L' Auxerrios  และอาคารด้านหลังพิพิธภัณฑ์ Louvre







                          พูดถึง Louvre พรุ่งนี้จะไปเที่ยวกัน วันนี้ต้องรีบกลับไปนอนพักผ่อนเอาแรงก่อน เนื่องจาก Louvre Museum ว่ากันว่าถ้าจะเดินชมให้หมด ต้องใช้เวลาถึง 3 วัน

Tips

            ว่าจะพาไปร้านไอศกรีมที่อร่อยที่สุดในปารีส ร้านดังเก่าแก่ Berthillon บนถนน Saint Louis ที่ต้องต่อแถวยาว ปรากฎว่ามาผิดวัน วันนี้ร้านปิด เลยได้แต่ยืนมองหน้าร้านอย่างเศร้า ๆ  ( เดินจากโบสถ์ Notre Dame มาตามถนน Notre Dame ข้ามสะพานไปยังถนน Saint Louis  270 เมตร ร้านอยู่ทางขวามือ ใช้เวลารวม 8 นาที) ปิดทุกวันอังคาร 








วันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2556

9 วันในฝรั่งเศส - IV Montmartre






17  กันยายน 13
            
                            วันนี้จะไปชมโบสถ์พระหฤทัย ( Sacre Coeur ) ที่เขต 18 Montmartre ทางตอนเหนือของปารีส

การเดินทาง         นั่งMetro สาย 12 ไปลงสถานี  Abbesses ที่เลือกลงสถานีนี้ เนื่องจาก โบสถ์พระหฤทัยตั้งอยู่บนเนินเขา หากเราไม่อยากปีนหรือเดินขึ้นเนิน ต้องลงที่สถานีนี้ ที่มีซุ้มทางขึ้นลงศิลป Art Nuvo ที่สวยงามกว่าสถานี Metro อื่น ๆ ที่ชาวฝรั่งเศสอนุรักษ์ไว้





                             ออกจากสถานี ก็จะพบกับตึกรามร้านค้า ร้านกาแฟ ร้านอาหารสวย ๆ งาม ๆ เรียงรายสองข้างทาง เดินชมได้จนลืมเมื่อยขา เดินไปไม่ไกลมองทางซ้าย จะแลเห็นยอดโบสถ์ และทางขึ้นที่เป็นเคเบิลคาร์ (Funiculaire ) เพื่อขึ้นไปยังวิหารศักดิ์สิทธิ์  Basilique du Sacre Coeur   สำหรับผู้สูงอายุอย่างเราที่ขี้เกียจเดินขึ้นลงบันไดหลายขั้น จึงเต็มใจจ่ายเงิน ( ใช้ตั๋ว carnet ได้ )








                            Basilique du Sacre Coeur หรือโบสถ์พระหฤทัย เป็นโบสถ์สีขาว ตั้งตระหง่านบนเนินเขา สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1875 แล้วเสร็จในปี ค.ศ.1914 มีหอระฆังใบใหญ่ที่สุดในโลก ลานหน้าโบสถ์เป็นจุดชมวิวมุมสูงเมืองปารีสสวยไม่แพ้บนหอไอเฟล  หากยังสูงไม่พอ ก็เข้าแถวเดินขึ้นบันไดเวียน 234 ขั้นสู่ยอดโดมได้อีก และภายในโบสถ์สวยงามไปด้วยสถาปัตยกรรม ภาพต่าง ๆ กระจกสีสันสวยงาม
















                         ออกจากโบสถ์เดินกลับเส้นทางเดิม เลยผ่าน Metro ไปจนถึงทางแยกให้เลี้ยวซ้าย เดินไปจนสุดถนน ประมาณ 10 นาที จะพบจุดสนใจของนักท่องเที่ยวอีกแห่งหนึ่ง นั่นคือ Moulin Rouge




                      สร้างเมื่อปี ค.ศ.1889 เป็นสถานที่จัดแสดงโชว์ระบำรำเต้นต่าง ๆ อันเก่าแก่ของปารีส เหนือหลังคามีกังหันลมสีแดง ของเก่าที่ยังหลงเหลืออยู่เพียงไม่กี่หลัง

                       มื้อกลางวันฝากท้องกับร้านอาหารแถว ๆ โบสถ์ แทบทุกร้านขายแต่ พิซซ่า สปาเกตตี้ เหมือนกันหมด  อิ่มท้องแล้ว ช่วงบ่ายจะไปเที่ยว Cathedrale Notre Dame de Paris